ผลิตภัณฑ์จาก "กะลา-ไม้มะพร้าว" สินค้าทำมือขึ้นชื่อของเกาะสมุย

 

กว่า 14ปีที่กลุ่มผลิตภัณฑ์กะลาและไม้มะพร้าวตำบลตลิ่งงาม ก่อตั้งขึ้นมาจากภูมิปัญญาของชุมชนคนเกาะสมุย ภายใต้การนำของ "สุนทร โพธิ์น้อยงาม" ที่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นเจ้าของกิจการผลิตภัณฑ์กะลาและไม้มะพร้าวรายใหญ่ บนเกาะ โดยมองว่าตั้งแต่บรรพบุรุษในอดีตหลายร้อยปีมาแล้ว มีการนำเอาต้นมะพร้าว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีมากบนเกาะสมุย ตั้งแต่ยอดไปจนถึงรากมาใช้ประโยชน์ ด้วยการแปรรูปเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ

  • ภาพประกอบข่าว

คมชัดลึก :

แม้ช่วงแรกอาศัยทักษะการผลิตเฉพาะตัวที่พอมีบ้าง แต่จากการทำเป็นระยะเวลานานก็เริ่มมีความชำนาญ ผลิตได้อย่างรวดเร็ว และสินค้าออกมามีคุณภาพดี จนลูกค้าเริ่มรู้จักจากการบอกกันปากต่อปาก นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเกาะสมุยก็ต้องแวะเวียนมาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ร้าน จนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย และเป็นสินค้าที่นักท่องเที่ยวที่มาสมุยต้องเดินทางมาซื้อ เพื่อเป็นของที่ระลึกจากเกาะสมุย

สุนทรยอมรับว่า วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเป็นไม้มะพร้าวบนเกาะสมุย 100% โดยเป็นไม้ที่ถูกตัดทิ้ง ไร้ค่า จึงนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยจะคัดเลือกเฉพาะไม้มะพร้าวที่มีไส้แข็ง เสี้ยนไม้ไม่หัก  มีสีที่ชัดเจน เช่น สีดำ สีแดง จึงมีส่วนทำให้สินค้ามีความคงทน ผลิตได้ง่าย และสวยงามตามธรรมชาติ เพราะไม้มะพร้าวบนกาะสมุยถือเป็นไม้มะพร้าวที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ส่วนขั้นตอนการผลิต เขาอธิบายว่า เริ่มจากนำวัตถุดิบมาคัดสรรจากนั้นเลือกส่วนที่ดีที่สุดมาแปรรูปเป็น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตามความต้องการ โดยผ่านกระบวนการกลึง ซึ่งปัจจุบันมีคนงานอยู่ 4 คนในการทำงานตรงนี้ ส่วนรูปแบบของผลิตภัณฑ์ปัจจุบันมีให้เลือกมากกว่า 1,000 แบบให้เลือก มีทั้งจากการสร้างสรรค์ขึ้นมาเองและผลิตตามคำสั่งของลูกค้า

  "ถ้าเป็นส่วนของโคนมะพร้าวต้องมีอายุประมาณ 80-100 ปีขึ้นไป ถือเป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพมากที่สุด เพราะสีจะเข้ม ไส้แน่น เมื่อผลิตเป็นชิ้นงานออกมาก็จะได้ผลิตภัณฑ์ที่สวยงามสะดุดตา  ส่วนที่เป็นกะลาก็จะนำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องตกแต่งบ้าน เช่น โคมไฟ ตะเกียงเจ้าพายุ เครื่องประดับต่างๆ เครื่องแต่งกายสุภาพสตรี อาทิ กระเป๋า เข็มขัด เข็มกลัด ปิ่นปักผม สร้อย ฯลฯ สนนราคาตั้งแต่ 20 บาทไปจนถึง 3,000 บาท"

   เจ้าของผลิตภัณฑ์จากกะลาและไม้มะพร้าวคุณภาพส่งออกยอมรับว่า ลำพังตัวเองและสมาชิกของกลุ่มจะมีวันนี้ไม่ได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก หน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 จ.สุราษฎร์ธานี ได้ให้คำแนะนำปรึกษาในการประกอบธุรกิจและการพัมนาบรรจุภัณฑ์ให้ดูสวยงาม ตลอดจนการส่งเสริมนวัตกรรมอุตสาหกรรมสู่เชิงพาณิชย์มาตั้งแต่ปี 2548

"ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวเกาะสมุยและเดินทาง มาที่ร้าน ได้เห็นกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน เห็นว่าเป็นสินค้าทำเอง ไม่ได้ไปรับจากที่อื่นมาขาย เขาจึงสนใจซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก แต่ก็มีบ้างที่เป็นพ่อค้าซื้อสินค้าไปขายต่อ ที่ผ่านมาไม่ได้ทำตลาดเลย เพียงแค่นำสินค้ามาวางขายหน้าร้าน แล้วลูกค้าก็ให้ความสนใจบอกกันปากต่อปาก" สุนทรเผย

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกในพื้นที่ที่มีการสร้างสรรค์ชิ้นงานด้วยมือและเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยเจาะกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งมีกลยุทธ์ในการตลาดด้วยการแสดงใบรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน พร้อมกำกับด้วยคำแปลภาษาอังกฤษ เพื่อสื่อความหมายให้ลูกค้าต่างชาติได้เข้าใจ ทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์มากขึ้น โดยปัจจุบันมียอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยประมาณ 1 แสนบาทต่อเดือน สนใจแวะชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากไม้มะพร้าวได้ที่ร้านคุณสุนทร เลขที่ 54/2 หมู่ 1 บ้านสระเกศ ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี โทร.0-7741-5260, 08-1273-8778 ได้ทุกวัน

" สุรัตน์ อัตตะ"

งาน Parttime สร้างรายได้จากงาน DIY

 

หากว่าใครมีความสามารถในการประดิษฐ์หรืองานประเภท DIY ช่องทางนี้ก็เป็นช่องทางที่สามารถทำเป็นงาน Parttime ได้ดีเช่นกัน ลองหางานที่เรามีความเชี่ยวชาญสักอย่างแล้วลองทำมันดู สักวันงานอดิเรกของเราอาจเป็นงานที่สร้างรายได้ให้กับเราอย่างยั่งยืนและยาวนานก็เป็นไปได้

ตัวอย่างงาน DIY ที่น่าสนใจหลายอย่างเราสามารถค้นหาได้ทางอินเตอร์เน็ทนี่เอง วันนี้ได้ไปเจอเวบที่เกี่ยวกับการทำกระเป๋าจากผ้ามา น่าสนใจมากลองเข้าไปศึกษาดูเป็นแนวทางแล้วค่อยมาประยุติ์ดูเข้าดูได้ที่ 

http://www.gooddayberry.com/index_th.php    

จะได้นำตัวอย่างการสร้างกระเป๋าจากเวบบนี้มาให้ดูกัน

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว
How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern วัสดุที่ใช้
- ผ้าฝ้าย ขนาด 22.5 x 27 ซม.
- ผ้าซับใน ขนาด 22.5 x 27 ซม.
- ผ้ากาว ขนาด 18.5 x 26 ซม.
- ซิปไนลอน ความยาว 7 นิ้ว
- ป้ายสัญลักษณ์ สำหรับติดกระเป๋า (ถ้ามี)

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern วิธีทำ

1. นำผ้าฝ้ายมาวางหงายด้านหลัง (ด้านผิด) ของผ้าขึ้น แล้วนำผ้ากาวที่เปียกน้ำหมาดๆ มาวางทับโดยให้ด้านที่มีกาว (ผิวซากๆ) ประกบกับผ้า

2. รีดด้วยเตารีดไฟปานกลาง โดยเริ่มตั้งแต่ตรงกลางแล้วไล่ออกด้านข้าง ระวังอย่าให้เกิดช่องว่างของฟองอากาศ รีดจนกระทั้งผ้ากาวแห้งติดกับผ้า

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

3. นำซิปมาประกบหน้าเข้ากับด้านหน้าที่มีลาย (ด้านถูก) ของผ้าที่มีการรีดติดผ้ากาวไว้แล้ว โดยให้ซิปชิดกับขอบผ้าของด้านที่มีความยาวสั้นกว่าอีกด้าน แล้วเย็บเป็นทางตรง โดยให้ฝีเข็มห่างจากขอบผ้า 0.2 ซ.ม. จากขอบนอก

4. กางซิปออกจากผ้าที่เย็บติดกัน โดยกางให้เกิดแนวพับใหม่ห่างจากขอบผ้าที่ติดซิป 0.5 ซ.ม. ไม่ควรใช้รอยเย็บเป็นแนวพับ

5. เย็บเป็นทางตรง โดยให้ฝีเข็มห่างจากขอบแนวพับใหม่ 0.2 ซ.ม.

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

6. นำผ้าอีกฝั่งของผ้าด้านหน้าที่มีลาย (ด้านถูก) ขึ้นมาประกบกับขอบซิปฝั่งที่เหลือ

7. เย็บเป็นทางตรง โดยให้ฝีเข็มห่างจากขอบผ้า 0.2 ซ.ม.

8. พลิกกลับผ้าให้ด้านหน้าออก โดยจับผ้าด้านที่กำลังติดซิปให้เกิดแนวพับใหม่ ห่างจากขอบผ้าที่ติดซิป 0.5 ซ.ม. แล้วเย็บเป็นทางตรง โดยให้ฝีเข็มห่าง จากขอบแนวพับใหม่ 0.2 ซ.ม.

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

9. จับผ้าที่ติดซิปแล้วประกบหน้าเข้าหากัน โดยให้ซิปเป็นแนวกลางแบ่งผ้าทั้งสองฝั่ง และพับป้ายโลโก้เตรียมไว้ตามรูป (ถ้ามีป้ายโลโก้)

10. รูดซิปเปิดไปจนสุด และสอดป้ายโลโก้ (ถ้ามี) ในตำแหน่งที่ต้องการด้านข้าง

11. เย็บเป็นทางตรงด้านข้างทั้งสองข้าง โดยมีระยะห่างระหว่างแนวเย็บประมาณ 18.5 ซ.ม. หรือตามแนวการติดผ้ากาวก็ได้ โดยต้องระวังไม่ให้ แนวเย็บไปตัดทับกับตำแหน่งหัวซิปพอดี ควรเว้นระยะห่างจากหัวซิปประมาณ 0.5 ซ.ม.สามารถใช้ปากกาเขียนผ้าหรือดินสอเขียนผ้ามาขีดเส้น ทำแนวร่างสำหรับเย็บเพื่อให้การเย็บเป็นที่ต้องการ

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

12. พลิกผ้าซับในประกบหน้า (ด้านมีลายหรือด้านถูก) เข้าหากัน โดยแบ่งให้ขอบผ้าประกบกันสนิท

13. เย็บเป็นทางตรงด้านข้างทั้งสองข้าง โดยมีระยะห่างระหว่างแนวเย็บประมาณ 18.5 ซ.ม.สามารถใช้ปากกาเขียนผ้าหรือดินสอเขียนผ้ามาขีดเส้น ทำแนวร่างสำหรับเย็บเพื่อ ให้การเย็บเป็นที่ต้องการ

14. กลับด้านพลิกเอาด้านหน้าของผ้าซับในออกด้านนอก

วิธีทำกระเป๋าถือด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว How to make a DIY Pouch 7x5 inch in Simple pattern

15. นำชิ้นงานของผ้าที่ติดซิปชิ้นหลัก กางขอบตะเข็บด้านข้างออกตามแนวเย็บทั้งสองข้าง แล้วสอดชิ้นงานหลักลงในชิ้นงานผ้าซับในที่พับขอบของ ผ้าซับในเข้าไปประมาณ 0.5 ซ.ม. สอดลงไปให้สุดโดยจัดทรงให้ผ้าแนบสนิทกันและตึงให้มากที่สุด

16.. เย็บมือประกอบผ้าซับในให้ติดกับชิ้นงานหลักของกระเป๋าด้วยการเย็บแบบสอยด้ายตามแนวซิปให้ปิดสนิทครบรอบ

17. กลับด้านพลิกเอาด้านหน้าของกระเป๋าออกด้านนอก แล้วจัดแต่งรูปทรงให้เข้าที่ อาจจะรีดด้วยเตารีดไฟปานกลางและฉีดน้ำยารีดผ้าเรียบ ทั้งด้านในและนอกเพื่อความสวยงามของชิ้นงาน เป็นอันเสร็จสมบูรณ์สำหรับกระเป๋าถือ DIY Pouch ด้วยตนเอง ในแพทเทิร์นแบบง่าย ขนาด 7x5 นิ้ว ซึ่งกระเป๋าชิ้นแรกของคุณทำขึ้นอาจจะยังไม่สมบูรณ์ ต้องหมั่นฝึกฝนทำกระเป๋าให้บ่อยๆ แล้วกระเป๋าจะออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ

บทความวิธีทำกระเป๋า เขียนโดย GoodDayBerry.com
อนุญาติให้เผยแพร่ได้ในเชิงวิชาการเท่านั้น โดยต้องอ้างอิงถึงเจ้าของบทความและ URL link ของหน้านี้ทุกครั้ง ห้ามไม่ให้นำไปเผยแพร่ในเชิงการค้า จำหน่าย ตีพิมพ์ โดยมิได้รับการอนุญาติ

http://www.gooddayberry.com/diy/howto/diy_pouch_7x5inch_simple_pattern.php?title=How-to-make-a-DIY-Pouch-7x5-inch-in-Simple-pattern

ฝึกอาชีพ เพิ่มรายได้ งานพิเศษ งาน Parttime เรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร

เค้าลางผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้นทุกที จากข่าวที่บริษัทเอกชนและ โรงงานต่าง ๆ เริ่มปลดพนักงานกันเป็นระลอก ทำให้คนทำงานต้องไหวตัวให้ทันและเตรียมพร้อม รับมือกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญในปีพ.ศ. 2552

นี้ด้วยความไม่ประมาท จะทำอย่างไรหากรายได้ลดลงเพราะถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือหากจู่ ๆ บริษัทปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง หรือแม้แต่เรียนจบมาแล้วหางานทำ ไม่ได้ การฝึกอาชีพก็เป็นช่องทางช่วยเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่ง หากเรียนแล้วเกิดไอเดียนำไปต่อยอดก็สามารถเริ่มต้นกิจการเล็ก ๆ ของตัวเองได้

เรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรเรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร เรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร เรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร

เรียนฟรีที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร

              ที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรมีหลักสูตรมากมายให้คุณเลือกเรียนได้ตามความสนใจ ที่สำคัญเรียนฟรี ไม่เสียค่าสมัคร เรียนจบแล้วมีวุฒิบัตรให้ ทั้งหลักสูตร 80 ชั่วโมง ได้แก่ อาหารคาว เบเกอรี นวดแผนไทย สปา เพ้นท์ผ้าบาติก ดอกไม้ดินหอม ร้อยลูกปัด แกะสลักผลไม้ เทียนแฟนซี ซ่อมโทรศัพท์มือถือ และหลักสูตร 160 ชั่วโมง ได้แก่ ตัดผมชาย เสริมสวย และตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี เป็นต้น

คุณอรปรียา คำมัน หัวหน้าศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร

คุณอรปรียา คำมัน หัวหน้าศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรเล่าให้ฟังว่า ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรเปิดฝึกอาชีพให้แก่
ผู้สนใจตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546 เดิมอยู่ในส่วนของสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ต่อมาแยกออกมาให้แต่ละสำนักงานเขตบริหารจัดการ ด้วยตนเอง เริ่มแรกนั้น ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรเปิดในตลาดนัดจตุจักร ตอนนี้เปิดเพิ่มที่ห้างสรรพสินค้ายูเนียนมอลล์ บริเวณหน้าลิฟท์ สำหรับหลักสูตรงานประดิษฐ์ต่าง ๆ เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้ที่มาเรียน และยังสามารถประชาสัมพันธ์หลักสูตรในวงกว้างมากขึ้น เข้าถึงผู้สนใจได้มากขึ้นด้วย ส่วนหลักสูตรที่ยังอยู่ที่ลานจอดรถตลาดนัดจตุจักร คือ หลักสูตรอาหารคาว เบเกอรี นวดแผนไทย สปา ตัดผม เสริมสวย และตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี

เมื่อถามถึงหลักสูตรที่ได้รับความนิยม คุณอรปรียาเปิดเผยว่า ที่ได้รับความนิยมก็จะเป็น นวดแผนไทย สปา ตัดผม เสริมสวย และการทำอาหาร เพราะสามารถนำไปประกอบอาชีพได้เลย ร้านอาหารหลายแห่งที่ทราบว่าเราเปิดสอนทำอาหาร ก็จะมาติดประกาศรับสมัครพนักงานไว้ ใครที่สนใจ เรียนจบแล้วก็สามารถเข้าไปสมัครได้ หรือบางคนเรียนเพื่อไปทำงานต่างประเทศก็มีมาก และ เมื่อเร็ว ๆ นี้ทางศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรได้เปิดหลักสูตรเพิ่มเติมเพื่อให้เข้ากับกระแส ความสนใจในปัจจุบัน ได้แก่หลักสูตรจัดดอกไม้สด ถักโครเชท์-นิตติ้ง ของขวัญของชำร่วย และเพ้นท์เล็บ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน

                คุณอรปรียา ฝากทิ้งท้ายว่า บุคคลทั่วไปอาจยังไม่ทราบว่าศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรมีเปิดสอนอาชีพฟรี เพราะที่ผ่านมาการประชาสัมพันธ์อาจยังไม่ทั่วถึง สำหรับผู้ที่ว่างงานสามารถ สมัครเรียนในวันธรรมดาได้ตั้งแต่เวลา 9.00-15.00 น. ส่วนที่ผู้ต้องการเรียนเป็นอาชีพเสริม หรือใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์สามารถสมัครเรียนในวันเสาร์-อาทิตย์ได้ ตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น.

                คราวนี้มาฟังความคิดเห็นทางด้านนักเรียนกันบ้างว่าเขามีแนวทางนำความรู้ที่ได้จากการฝึกอาชีพไปประกอบอาชีพได้อย่างไร

            คุณบุญญานิจาภรณ์ คำวิโรจน์ นักเรียนของ ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักรในหลักสูตรเสริมสวยและเพ้นท์เล็บ เธอเล่าว่า ตอนนี้ออกจากงานประจำเพราะเตรียมตัวจะไปทำงานที่ออสเตรเลีย ซึ่งน้องสาวที่อยู่ทางนั้นบอกว่ากำลังขาดแคลนช่างเสริมสวย เพ้นท์เล็บ ต่อเล็บ ถ้าเราเรียนทางด้านนี้ไปก็จะหางานทำได้ง่ายและรายได้ดี สำหรับคนที่ไม่ได้จะไปต่างประเทศเรียนจากที่นี่ไป ก็ไปประกอบอาชีพ ไปเปิดร้านได้ อย่างเพ้นท์เล็บตอนนี้ก็กำลังเป็นที่นิยม

     คุณพิพัฒน์ ศิริเดช เปิด เผยว่า ตนเองทำงานประจำเกี่ยวกับอะไหล่และชุดตกแต่งรถยนต์ ที่มาเรียนหลักสูตรซ่อมโทรศัพท์มือถือเพราะอยากเปิดร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือ ภายในหมู่บ้านแถวปทุมธานี เนื่องจากแถวนั้นยังไม่มีใครเปิดร้านแบบนี้ และคาดว่าในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี การเดินทางก็เป็นจุดหนึ่งที่ลูกค้าพิจารณา ไปแล้วคุ้มกับค่ารถเมล์ค่าเสียเวลาหรือไม่ ถ้ามีร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือภายในหมู่บ้านคนในหมู่บ้านก็สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

                อีกหนึ่งหนุ่มที่มาเรียนซ่อมโทรศัพท์มือถือ คือคุณกิตติโชติ คณิตเลขการ บอกกับเราว่า ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือเป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะทุกคนก็ใช้โทรศัพท์มือถือกันอยู่แล้ว ซึ่งมันพัฒนาไปไม่หยุด ถ้าเราหัดซ่อม หัดแก้บ่อย ๆ เราก็ได้ฝึกวิชาความรู้เพิ่มเติม ก็สามารถหาเช่าที่เปิดร้านตามตลาดนัดหรือที่อื่น ๆ สำหรับคนที่วันเสาร์-อาทิตย์ว่าง ๆ  ไม่มีอะไรทำ ก็สามารถมาเรียนเพิ่มเติม ได้ความรู้และได้เจอเพื่อนหลากหลายวัย ทั้งชาย-หญิง

            คุณณัฐินีย์ ถือแก้ว มาเรียนจัดดอกไม้สดที่นี่เพราะเพื่อนแนะนำ ด้วยเห็นว่าเธอชอบจัดดอกไม้อยู่แล้ว มาเรียนเพื่อให้มีความรู้ไว้
ในอนาคตเมื่อไรที่เต็มอิ่มกับงานประจำก็อาจจะหาเงินทุนมาเปิดร้านดอกไม้ของ ตัวเอง มาเรียนที่นี่ค่าใช้จ่ายน้อย อาจารย์ก็สอนดี ส่วนดอกไม้อาจารย์เป็นคนจัดหามาให้ เราก็เฉลี่ย ๆ กันออกสตางค์

            นับเป็นช่องทางที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังว่างงาน หรือมองหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลกเช่นนี้ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ฝึกอาชีพจตุจักร โทร. 0 2272 4741, 0 2513 6654 แต่ หากไม่สะดวกไปที่จตุจักร ทางกรุงเทพมหานครก็มีศูนย์ฝึกอาชีพที่ขึ้นกับสำนักงานเขตอีก 7 แห่งซึ่งมีหลักสูตรน่าสนใจให้เลือกเรียนมากมายเช่นกัน ได้แก่ ศูนย์ฝึกอาชีพวัดวรจรรยาวาส เขตบางคอแหลม โทร. 0 2292 0194 และ 0 2289 3478 ศูนย์ฝึกอาชีพวัดธรรมมงคล เขตพระโขนง โทร. 0-2331-7573-4 ศูนย์ฝึกอาชีพบางพลัด เขตบางพลัด โทร. 0 2423 2026 ศูนย์ฝึกอาชีพมีนบุรี เขตมีนบุรี โทรศัพท์ 0 2540 4375-6 ศูนย์ฝึกอาชีพสวนลุมพินี เขตปทุมวัน โทร. 0 2251 5849, 0 2251 5268 ศูนย์ฝึกอาชีพรามคำแหง เขตบางกะปิ โทร. 0 2809-8026 กด 8 , 04113-6125 และศูนย์ฝึกอาชีพวัดสุทธาวาส เขตบางกอกน้อย โทร. 0 2412 4611-2

วุ้นไทย ลงทุนน้อย ขายได้กำไรเท่าตัว 0

วันนี้นำอาชีพทำเงินที่น่าจะเป็น งาน Parttime มานำเสนอ เผื่อว่ามีคนสนใจจะได้นำไปทำมาหากินกัน ขอบตุณข้อมูลจาก http://www.thaismefranchise.com 

 

“สิ่งสำคัญของวุ้นอยู่ที่น้ำ ควรเลือกใช้น้ำต้มสุก สะอาด ปราศจากสี กลิ่น รส มิฉะนั้น วุ้นที่ได้จะมีกลิ่นเหม็นคาว ส่วนรูปแบบ อาศัยแม่พิมพ์ที่แปลกตา อาทิ รูประฆัง โบว์ สัตว์ต่างๆ ตัวการ์ตูน หรือรูปอักษรจีน ภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น รวมไปถึงลายที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็น สัญลักษณ์วันเกิด หัวใจ รูปโบว์ ดอกกุหลาบ ผลไม้ ตัวอักษร เป็นต้น”

หนึ่งในเมนูขนมไทยที่หารับประทานง่าย รสชาติอร่อย และเป็นที่นิยมตลอด นั่นคือ “วุ้น” ขนมหวานเนื้อนิ่ม ใสแจ๋ว ปัจจุบันกระตุ้นยอดขาย ด้วยการนำมาพลิกแพลงรสชาติให้มีความหลากหลาย เเละรูปแบบมากมาย อาทิ วุ้นเฉาก๊วย วุ้นลูกชุบ วุ้นมะม่วง วุ้นกาแฟ วุ้นเค้ก วุ้นสตรอเบอร์รี่ วุ้นน้ำนมถั่วเหลือง วุ้นนมสด วุ้นธัญพืช วุ้นชาเขียว วุ้นนมพร่องมันเนย วุ้นสายรุ้งกะทิ วุ้นหน้าทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ถั่วดำ สังขยา เป็นต้น

วันนี้ ก้าวแรกเศรษฐี มีผู้เชี่ยวชาญด้านการทำวุ้น มาร่วมเผยข้อมูล รายละเอียด กรรมวิธีการทำ สถานที่จำหน่าย และเคล็ดลับต่างๆ เกี่ยวกับการทำวุ้น นั่นคือ อาจารย์พรรณี เล้าศิริ

วุ้นไทยแฟนซีปัจจุบัน อาจารย์พรรณี นอกจากเป็นวิทยากรประจำศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบัญชี บริษัทแห่งหนึ่ง และยังจำหน่ายวุ้นเป็นอาชีพเสริม ซึ่งลักษณะวุ้นที่เธอจำหน่ายเป็นวุ้นแฟนซี สีสันสวยงาม เนื้อนิ่ม รับประทานง่าย รสชาติหวานกำลังดี รับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย

เริ่มต้น อาจารย์ อธิบายคุณสมบัติของวุ้นว่า มี 2 รูปแบบ คือ วุ้น A และ วุ้น AA ความแตกต่างคือ วุ้น A เนื้อจะนิ่ม เนียน ไม่กรอบ ส่วนวุ้น AA จะมีความแข็ง และกรอบ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้ ความนิยมบริโภค เท่าๆ กัน แต่ที่ขายตามท้องตลาด ส่วนใหญ่มักจำหน่ายรูปแบบ AA เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่า

สำหรับอุปกรณ์การทำวุ้น ผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วในครัวเรือน อาทิ หม้ออะลูมิเนียม ทัพพี ช้อนกาแฟ กระติก ไม้จิ้มฟัน ผ้าขาวบาง มีบางชนิดที่ต้องหาซื้อเพิ่ม เช่น แบบพิมพ์ ถ้วยตวง ช้อนตวง ที่ปาดส่วนผสม สีผสมอาหาร ขวดที่มีฝาบีบ พาย

“อุปกรณ์ที่จำเป็น ขาดไม่ได้ในการทำวุ้น ได้แก่ ช้อนตวง ถ้วยตวงแห้ง ถ้วยตวงน้ำ พาย ทัพพี กระติกเก็บความร้อน ช้อนชงกาแฟ หม้อสำหรับเคี่ยววุ้น ผ้าขาวบาง ไม้จิ้มฟัน ขวดสำหรับหยดสี สีผสมอาหาร กลิ่น กล่องใส่วุ้น ถุง และสก๊อตเทปใส ทั้งหมดนี้หากซื้อใหม่ยกชุด ต้นทุนประมาณ 3,000 บาท พร้อมวัตถุดิบอีกจำนวนหนึ่ง” อาจารย์พรรณี ระบุ

ลำดับถัดมา ถามถึงค่าวัตถุดิบ อาจารย์คนเดิม เผย ผงวุ้นที่จำหน่าย ทั่วไป 50 กรัม ราคา 53 บาท รวมน้ำตาล ภาชนะบรรจุ กล่อง ต้นทุนอยู่ที่ 170 บาท แต่สามารถทำกำไรได้เกินครึ่ง หรือประมาณ 200 เปอร์เซ็นต์ “ถ้าทำวุ้นตามสูตรที่ให้ไป จะได้วุ้นไซซ์เล็กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ประมาณ 250 ถ้วย ส่วนประกอบ คือ ผงวุ้น 1 ซอง ขนาด 50 กรัม ราคา 53 บาท น้ำตาล 2 1/2 ถ้วย ถ้วยขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว 3 แพ็ก หรือ 250 ถ้วย ราคา 39 บาท กะทิ 1 กล่องใหญ่ เฉลี่ยต้นทุนทั้งหมดประมาณ 170 บาท จำหน่ายถ้วยละ 2 บาท เบ็ดเสร็จกำไร 330 บาท”

เมื่อเป็นสินค้าที่ทำกำไรสูง ฉะนั้น ถ้าต้องการทำขาย ปริมาณควรอยู่ที่เท่าไหร่ และเริ่มต้นขายด้วยวิธีใด อาจารย์ ระบุ ปัจจุบันเนื่องจากคาดเดาตลาดยาก อีกทั้งตัวเลือกขนมมีมาก ดังนั้น บรรดามือใหม่ ควรเริ่มแต่น้อย ทดลองทำเพียง 1 สูตร หรือประมาณ 250 ถ้วยเล็ก ไปก่อน เมื่อเริ่มมีลูกค้า ค่อยประชาสัมพันธ์ว่ารับทำตามออร์เดอร์ วิธีนี้นอกจากไม่สิ้นเปลืองแล้ว ยังทราบความต้องการของผู้บริโภคแท้จริง “แม้วุ้นจะเป็นขนมที่ต้นทุนไม่สูง แต่แรกๆ ควรทำขายแต่น้อย เพราะปัจจุบันคาดเดาตลาดยาก ส่วนวิธีจำหน่ายที่ประหยัด เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจที่สุดคือ นำวุ้นใส่กระติกปิคนิค แล้วตั้งโต๊ะสแตนเลสวางจำหน่าย”

0042

โดดเด่นด้วย รูปแบบ

เผยสูตรให้ลองทำ

เนื่องจากปัจจุบัน มีผู้ประกอบการจำหน่ายวุ้นเป็นจำนวนมาก ถามว่า ทำอย่างไรวุ้นจะมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ อาจารย์ ตอบว่า สิ่งสำคัญของวุ้นอยู่ที่น้ำ ควรเลือกใช้น้ำต้มสุก สะอาด ผ่านการกรองจนแน่ใจว่า ปราศจาก สี กลิ่น รส มิฉะนั้น วุ้นที่ได้จะมีกลิ่นเหม็นคาว ส่วนรูปแบบ ควรใช้แม่พิมพ์ที่แปลกตา และได้รับความนิยม อาทิ รูประฆัง โบว์ สัตว์ต่างๆ ตัวการ์ตูน อักษรจีน ภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น สัญลักษณ์วันเกิด หัวใจ รูปโบว์ ดอกกุหลาบ ผลไม้ ตัวอักษร “วุ้นถ้าทำตามสูตร รสชาติที่ได้ ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ขึ้นอยู่กับความอดทนของผู้ทำ เนื่องจากใช้เวลานาน ประมาณ 3 ชั่วโมง สิ่งสำคัญ อยู่ที่การนำไปประยุกต์เข้ากับขนมชนิดอื่น เช่น วุ้นเค้ก วุ้นลูกชุบ เป็นต้น”

ดูเหมือนว่า การประกอบอาชีพดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงาน หรือพื้นที่การทำมากนัก ลำพังคนเดียวก็สามารถประกอบกิจการได้ ถูกหรือไม่ อาจารย์พรรณี กล่าวว่า ทุกอย่างทำเองคนเดียวได้ ภายในบริเวณที่พักอาศัย สมมติจะขายพรุ่งนี้ วันนี้สามารถทำล่วงหน้าเตรียมไว้ได้เลย “วุ้นใสเก็บได้นาน 6 วัน หากเป็นวุ้นกะทิ เก็บได้นาน 3 วัน เคล็ดลับตอนขายให้นำไปแช่เย็น วุ้นจะมีรสชาติอร่อยขึ้น หากจำหน่ายไม่หมด นำวุ้น มาขูดฝอย นำไปตั้งไฟเคี่ยวใหม่ สักพัก จะออกมาเป็นวุ้นเหมือนเดิม ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้กับวุ้นใสเท่านั้น”

ทราบรายละเอียดถึงตรงนี้ ขอคำแนะนำถึงการเลือกทำเล ผู้รู้ แนะว่า ควรเลือกบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ตลาดนัด ตลาดสด งานวัด งานประจำปี ชุมชน หอพัก บริษัทห้างร้าน ป้ายรถประจำทาง หน้าร้านสะดวกซื้อ สถานศึกษา หรือใครที่มีร้านอาหารอยู่แล้ว ให้นำไปเสริมเป็นของหวาน ส่วนวัน เวลาขาย ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ขายได้ทุกวันไม่มีวันหยุด

นอกจากวุ้นจะลงทุนต่ำ ขายได้กำไรดีแล้ว ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือ วัตถุดิบหาซื้อได้ง่าย อาจารย์ กล่าวว่า ส่วนผสมทุกอย่าง สามารถซื้อได้ที่ตลาดสด ร้านขายของชำ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เหมือนกับอาชีพขายอาหาร หรือผลไม้ ที่ต้องมีร้านประจำ หรือซื้อจากแหล่งถึงจะได้ราคาถูก

ก่อนยุติเนื้อหา อาจารย์พรรณีนำสูตรการทำวุ้นใส และวุ้นกะทิ มาให้ทดลองทำ และย้ำว่า โอกาสในการขายวุ้นยังมีพื้นที่อีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน มีคนนิยมหันมาบริโภคขนมชนิดนี้มากขึ้น ตัวอย่าง แทนเค้กวันเกิด เค้กปีใหม่

สนใจสอบถามเนื้อหา ข้อมูล การทำวุ้น หรือเข้ารับการอบรม ติดต่อ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทรศัพท์ (02) 589-2222, (02) 589-0492 และ (02) 954-4999 ต่อ 2100, 2101, 2102 และ 2103

0041

การทำวุ้นใส และวุ้นกะทิ

ส่วนผสม วุ้นใส

1. ผงวุ้น (ควรใช้ตรานางเงือก A เดียว) 3 ช้อนโต๊ะ

2. น้ำตาลทรายขาว 2 1/2 ถ้วยตวง

3. ใบเตยหอมสด (ใส่มากๆ ยิ่งดี) 6 ใบ

4. กลิ่นใบเตย (ตราวินเนอร์) 5-10 หยด

5. น้ำเปล่าสะอาด (ควรใช้น้ำที่ผ่านเครื่องกรองน้ำ) 8 ถ้วยตวง

วิธีทำวุ้นใส

1. นำผงวุ้นที่ตวงแล้ว แช่น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง แช่นานประมาณ 1 ชั่วโมง

2. นำหม้อใส่น้ำเปล่า 6 ถ้วยตวง ใส่ใบเตยสดล้างสะอาด ตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 4-5 นิ้ว ตั้งไฟให้เดือด เคี่ยวจนกระทั่งได้กลิ่นใบเตย จากนั้นตักออก

3. นำวุ้นที่แช่น้ำแล้ว ลงไปคนจนละลาย ใช้เวลาประมาณ 7-8 นาที จะมีลักษณะหนึบๆ ใส่น้ำตาลทรายขาว และหยดกลิ่นใบเตยประมาณ 5-10 หยด คนกระทั่งน้ำตาลละลาย จากนั้นยกลง เทใส่กระติกเก็บความร้อน ปูผ้าขาวบางบนปากกระติก ปิดฝาไว้ก่อน และทำวุ้นกะทิต่อทันที

ส่วนผสม วุ้นกะทิ

1. ผงวุ้น (ควรใช้ตรานางเงือก A เดียว) 3 ช้อนโต๊ะ

2. น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วย

3. ใบเตยหอมสด

4. หัวกะทิ

(ใช้กะทิกล่องพาสเจอไรซ์ ตราชาวเกาะ ขนาด 1,000 กรัม) 4 ถ้วยตวง

5. เกลือป่น ซองละ 2 บาท 2 ช้อนโต๊ะ

6. แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ

7. น้ำเปล่าสะอาด 4 ถ้วยตวง

วิธีทำวุ้นกะทิ

1. นำผงวุ้นที่ตวงแล้ว แช่น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง นานประมาณ 1 ชั่วโมง

2. นำหม้อใส่น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง ใส่ใบเตยสด ที่ล้างสะอาด และตัดใบเตยเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 4 หรือ 5 นิ้ว ตั้งไฟเคี่ยวจนกระทั่งได้กลิ่นใบเตย จากนั้นตักออก ใส่วุ้นที่แช่น้ำแล้วลงไป คนจนวุ้นละลายจะมีลักษณะหนึบๆ

3. ใส่น้ำตาลทรายขาว พอน้ำตาลละลาย ใส่เกลือ กะทิ แป้งข้าวเจ้า คนพอสุก อย่าให้กะทิแตกมัน

4. ยกลงจากเตา เทวุ้นกะทิที่เสร็จแล้วลงไปในกระติกเก็บความร้อนปิดฝาไว้

วิธีการหยอด : ให้ใช้แม่พิมพ์ ขนาดถ้วยพอดีคำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว เทวุ้นใส สลับกับวุ้นกะทิ เริ่มต้นวุ้นชนิดใดก็ได้ แต่ชั้นสุดท้ายต้องเป็นวุ้นใส เนื่องจากสีสันจะสวยงาม และรสชาติกลมกล่อม

โดย ดวงกมล โลหศรีสกุล

งาน Parttime งานพิเศษ รายได้เสริม ด้วยต้นคริสมาส

อย่าปล่อยเวลาของคุณให้สูญเปล่า สร้างรายได้ด้วยงานอดิเรก...

โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น งานฝีมือไทย งานฝีมือนานาชาติ แกะสลัก หรือวาดภาพ นั้น ทำเล่น ๆ เป็นงานอดิเรกได้ หรือทำจริงจัง เพื่อหารายได้ เสริม ล้วนแล้วแต่มีคุณค่า เพราะงานทุกชิ้นทำมาด้วยใจรัก วันนี้มีวิธีการทำต้นคริสมาสจากใยบัวมาฝากกัน ดังนี้

การทำต้นคริสมาสจากใยบัว
วัสดุ อุปกรณ์

  1. ผ้าใยบัวสีมัดย้อม สีธรรมชาติส่วนใหญ่จะเป็น สีแดง เหลือง และเหลืองส้ม
    สำหรับทำดอก และใบ
  2. ลวดพันก้านสีเขียวเบอร์ 24
  3. ฟลอร่าเทปสีเขียว และสีตามเฉดใบชั้นบน
  4. ก้านสำเร็จ ยาว 30 ซม. จำนวนตามต้องการ(นับตามช่อ)
  5. สีน้ำมันเหลืองอมส้ม ไว้แต้มเกสร
  6. ด้าย และลูกปัดรูปวงรี
  7. ลวดเบอร์ 24 และ 28 ส่วนมากจะใช้สีทอง และสีเงิน

วิธีทำ

  1. ก่อนอื่น มาทำเกสรกันก่อนดีกว่า โดยนำลวดพันก้านสีเขียวเบอร์ 24 ตัดยาวประมาณ 8 ซม. ใช้คีมบีบเป็นปมที่ปลาย
    แล้วนำไปลูกปัดมาเสียบที่ปลายก้าน ดึงให้แน่น เสร็จแล้วนำฟลอร่าเทปพันปิดลูกปัด และก้านให้แน่น
  2. นำเกสรอีก 5 อัน มาติดให้ยอด โดยติดให้ต่ำกว่าเกสรอันแรกเล็กน้อย จึงจะสวยงาม เสร็จแล้วพันก้าน
    และแต้มสีน้ำมันที่ปลายเกสร จากนั้นดัดก้านแยกออกให้สวย
  3. มาถึงการทำใบ ให้นำ้ลวดเบอร์ 28 พันรอบท่อพลาสติกขนาดต้องการ เหลือก้านไว้ประมาณ 5 ซม. บีบตรงปลายให้แหลม.
    แล้วใช้คีมทำหยัก ดามลวดไว้กลางกลีบ จากนั้นหุ้มผ้าใยบัว ควรทำเตรียมไว้ช่อละ 3 กลีบ และทำใบไว้อย่างน้อย 2 ขนาด
  4. การเข้าดอกชั้นแรก ใช้กลีบขนาดเล็ก 3 กลีบ มัดติดห่างจากบริเวณมัดเกสร ประมาณ 3 ซม.
    จากนั้นพันก้านลงไปจนถึงระดับที่จะมัดกลีบชั้นต่อไป ประมาณ 3-5 ซม.
  5. ติดกลีบชั้นที่ 2 ห่างจากชั้นแรกประมาณ 3-5 ซม. ขนาดควรใหญ่กว่าชั้นแรก ติดได้ 3-4 ใบ
  6. ติดกลีบสีต่างกัน อาจจะเป็นสีเขียว ในชั้นที่ 3-5
  7. จัดใส่กระถาง

เพียงทำตามขั้นตอนข้างต้น คุณก็จะได้ต้นคริสมาส ที่สามารถนำไปวางจำหน่าย อาจจะเป็นของฝาก หรืออาจจะมีคนสั่งคุณทำ ก็เป็นได้
เนื่องจากตอนนี้ งานฝีมือที่เกี่ยวกับใยบัวกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นไม่ยากที่คุณจะเสริมรายได้ด้วยวิธีนี้...

…..ข้อมูลจากงานวันนี้http://xn--parttime-rpzuiok.xn--72c0baa2eyce3a4p.com/

งาน Part Time งานพิเศษ งานเสริม ที่ไม่ควรมองข้าม

        ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หางาน และสมัครงานไปแล้วหลายแห่ง หลายตำแหน่ง คุณคิดว่าตัวเอง มีความสามารถกว้างขวาง สามารถทำงานได้หลากประเภท แต่กลับยังไม่ถูกเรียกตัวไปสัมภาษณ์งานเสีย ที.. บางทีคำตอบอาจอยู่ที่ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวคุณเอง คุณอาจมีความสามารถที่หลากหลายจริง แต่คุณยังค้นหาตัวเองไม่พบว่าชอบอะไร และถนัดอะไร การสมัครงานแบบหว่าน

ไม่เป็นประโยชน์ต่อ ตัวคุณเลยค่ะ คุณควรจะลองหาจุดยืนของตัวเอง แล้วเลือกสมัครงานที่คุณต้องการจะทำจริง ๆ แทนที่จะสมัครงานอะไรก็ได้ เพื่อให้ได้งานทำ   แต่หากคุณยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร ลองพิจารณางาน Part Time ดูไว้บ้างก็ไม่เสียหาย บางทีคุณอาจพบงานที่เหมาะกับคุณในเวลาอันรวดเร็ว เพราะงาน Part Time เป็นงานที่ทำในช่วงเวลาสั้น ๆ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน ซึ่งจะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์การทำงานที่หลากหลาย ดีกว่าเสียเวลารองานประจำ โดยที่ยังไม่รู้ว่ามันจะเหมาะกับคุณหรือเปล่า   ประโยชน์จากการเป็นพนักงาน Part Timeที่คุณไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นงานระยะสั้น-ยาวแค่ไหน 1 สัปดาห์ 1เดือน หรือ1 ปี ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น  

  • ได้ประสบการณ์ในสายงานที่คุณสนใจ หรือหากคุณได้ทำงานในสายงานอื่น คุณก็จะมีความรู้ ได้รับทักษะใหม่ ๆ และประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบได้ว่า การที่คุณได้เข้าไปสัมผัสจริง ๆ กับตอนที่ได้อ่านหนังสือ หรือฟังจากคนอื่นนั้นแตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร และที่สำคัญอาจทำให้คุณได้คำตอบว่า งานแบบไหนกันแน่ที่คุณใช่ตัวคุณ
  • มีรายได้ มีเงินใช้ การเป็นพนักงาน Part Time อย่างน้อยก็ช่วยเยียวยาเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ป้องกันเงินช็อตจากการว่างงานเป็นเวลานาน
  • มีโอกาสได้รับการประเมินผลงานทำงานจากผู้ที่เป็นหัวหน้าในสายงานที่คุณทำ ทำให้คุณได้รู้ว่าควรจะแก้ไข ปรับปรุงอย่างไร เมื่อจะไปทำงานประจำ หรือหากคุณมีผลงานที่เข้าตา และบริษัทนั้นมีการเปิดรับพนักงานประจำ คุณอาจถูกรางวัลแจ็กพอต ได้เลื่อนขั้นเป็นพนักงานประจำเลยก็ได้
  • มีตารางเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่นกว่างานประจำ ซึ่งคุณสามารถเลือกงาน Part Time ที่คุณต้องการจะทำได้ ตามเวลาที่คุณสะดวก และตามความสนใจของคุณ งานประเภทนี้ยังทำให้คุณมีเวลาพอที่จะทำอาชีพเสริมหารายได้พิเศษตามที่คุณ ถนัด เช่น รับถ่ายภาพตามงานแต่งงาน งานรับปริญญา รับงานออกแบบกราฟิก หรือเปิดท้ายขายของ เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ความงามต่าง ๆ ซึ่งคุณยังสามารถโฆษณาสินค้าของคุณได้ฟรีตามเว็บไซต์ที่เป็น Service Portal อย่าง www.88DB.com หรือหากต้องการเปิดร้านค้าออนไลน์ ก็มีบริการที่ www.shoppingserviceshop.com
เห็นไหมคะว่า ทุกปัญหามีทางออกเสมอ การหางานประจำทำไม่ได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป หากคุณสนใจที่จะทำงาน Part Time วิธีการหางานประเภทนี้ไม่ยาก เพียงใส่คำค้นหา part time หรือ contract หรือ temp ในช่อง หางาน สมัครงาน เพื่อค้นหางานภายใน www.งานวันนี้.com เท่า นี้ตำแหน่งงาน Part Time ที่กำลังประกาศรับสมัครอยู่ ก็ขึ้นมามากมายให้คุณเลือกอย่างจุใจแล้ว   เพียงคุณไม่ยึดติดกับงานประจำ คุณอาจได้งานเร็วขึ้น และมีประสบการณ์ที่หลากหลายและท้าทายมากกว่า เปิดโอกาสให้ตัวคุณได้ทดลองเป็นพนักงาน Part Time ค้นหาสิ่งที่คุณชอบและถนัดอย่างแท้จริง เพื่อเป้าหมายคือ งานประจำในตำแหน่งที่เป็นตัวคุณจริง ๆ ในอนาคต

งาน Parttime ทำอยู่บ้าน

                เป็นช่วงเวลาที่คุณที่เราอยู่บ้านเฉยๆ หรือ ว่างงานอยู๋เราก็อยากจะหางานparttime หาเงินเพิ่มเติมเป็นการใช้เวลาว่างให้ดเป็นประโยชน์และลองอาชีพใหม่ ๆ ที่สามารถทำที่ บ้านได้โดยไม่เสียเวลาดูแลบ้านและครอบครัว


  • Craft งานฝีมือโดดเด่น คุณรู้หรือว่างานแฮนด์เมด หรืองานศิลปะหัตถกรรมต่าง ๆ ที่ต้องใช้ฝีมือทำกำลังเป็นที่นิยมมากให้ปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องเปิดร้านแต่อาจจะต้องหาตลาดตามร้านค้าต่าง ๆ หรือร้านค้าออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตกระจายสินค้าของคุณเพื่อสร้างรายได้ขึ้นมา และอาจจะเพิ่มเติมลูกเล่นลงไปด้วย อย่างเช่น เก้าอี้หรือป้าย ชื่อห้องเพ้นต์ลายดอกไม้ ตุ๊กตาหมีเชือกถักใส่ชุดรับปริญญาหรือแต่งงาน ผ้าพันคอลายเก๋ๆ เป็นต้น


  • Baking อาหารอร่อย ถ้าคุณเคยทำอาหารไปให้คนอื่น ๆ กินจนติดใจและเขาก็ถามหาอีก คุณเตรียมตัวเป็นเถ้าแก่ได้เลย เริ่มแรกอาจให้วิธีสั่งล่วง หน้า Made to Order เพื่อที่คุณจะได้จัดสรรวัตถุดิบให้ เพียงพอไม่เหลือทิ้งจนทุนหายกำไรหด จริงอยู่ที่กำไรอาจจะไม่มากมายนัก แต่ถ้ามีคนทยอยสั่งทุก ๆ เดือนยอดรายได้ก็จะสม่ำเสมอขึ้น ซึ่งคุณอาจจะขยายตลาดรับทำส่งตามร้านกาแฟก็ได้ อย่างเช่น เค้ก คุกกี้ ไส้กรอกโฮมเมด ไอศกรีม ฯลฯ ประหยัดค่าทำเลไปได้มากและไม่เสียเวลา เยอะสาว ๆ หลายคนเปิดหน้าบ้านทำอาหารเช้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ขาย เช่น หมูปิ้ง ขนมปังปิ้งทาเนย โจ๊ก ซึ่งกำไรวันละ ประมาณ 200-300 บาท ดูเหมือนน้อยแต่นับเป็นเดือนคุณจะมีเงินเพิ่มมากถึง 9,000 บาททีเดียว หรือใครอินเทรนด์ทำซูชิ อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลีได้ ก็ยิ่งดีใหญ่


  • Childcare พี่เลี้ยงเด็กกำลัง เป็นที่นิยมมาก ในช่วงที่คุณไม่ต้องดูแลเจ้าตัวเล็กของตัวเอง อาจเปิดรับเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ เพิ่มราย ได้ มั่หากคุณเป็นคนใจเย็นแล้วช่วงนี้ก็ปิดเทอม ต้องมีหลายบ้านที่ต้องการผู้ใหญ่คอยดูแลเจ้าตัวเล็กให้แน่ๆ การทำงานแบบนี้ไม่ต้องลงทุนแต่คุณอาจจะต้องดูแลเจ้าหนูไม่ให้คลาดสายตา และมีความรู้เรื่องเด็กสักนิดก็สามารถทำได้ ซึ่งน่าจะเป็นงานที่คุณถนัดอยู่แล้ว ลองหารายได้ในบ้านดีกว่าอยู่เปล่า ๆ เสียเวลาไปวัน ๆ ค่าตอบแทนอยู่ที่ประมาณวันละ 200-300 บาท หรือคิดเป็นชั่วโมงก็ได้


  • Gardening สวนสวยด้วยมือเรา คุณสามารถเสกสวนสวยให้เพื่อนบ้านได้ด้วยมือของเราเอง ถ้าคุณเป็นคนชอบต้นไม้ใบหญ้าและรักการแต่งสวน สร้าง งานแต่งสวนด้วยตัวคุณเองดูสิ อย่างเช่น สวนสมุนไพร สวนดอกไม้ ไม้พุ่มประดับ เป็นต้น รวมทั้งดูแลรดน้ำตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ยซึ่งอย่างน้อยต้องทำเดือนละหนึ่งครั้ง เป็นงานบริการที่คนในเมืองต้องการ หาลูกค้าที่เป็นเพื่อนบ้าน จะได้ทำงานไม่ไกลจากบ้านคุณด้วย


  • Photographer สตูดิโอง่าย ๆ ในบ้านมีกล้องดี ๆ สักตัวในบ้านอย่าวางทิ้งไว้ให้ราขึ้น ลองถ่ายภาพบุคคลแล้วเซฟไฟล์ไปปรินต์ลงกระดาษเหมือนภาพติดบัตรทั่วไป เพราะหากคุณเดินเข้าไปในร้านถ่ายรูปจะต้องเสียเงินประมาณ 120 บาทต่อ 12 ภาพ แต่ถ้าถ่ายเองค่าปริ๊นรูปไม่ถึง 30 บาทเท่านั้นรับรองว่ากำไรงามเพราะใกล้เปิดเทอมแล้ว และคนก็มีแนวโน้มที่จะสมัครงานมากขึ้น หรือรับ ถ่ายภาพ อาหาร สินค้าต่าง ๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน


  • ทำปุ๋ยน้ำชีวภาพ จากเศษอาหาร

     

      งาน parttime ที่สร้างเรายได้จากศษขยะจากอาหารที่เหลือจากการทำกับข้าว เป็นงานที่ทำได้ไม่ยาก ค่อยๆสร้างค่อยๆทำ หมักไว้ประมาณ 3 เดือนก็เริ่มใช้ได้แล้วไม่ว่าจะนำไปใช้งานทำความสะอาด หรือรถน้ำต้นไม้ก็ดูดี ส่วนการทำนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากมากมายนักใครๆก็สามารถสร้างรายได้เป็นงาน parttime ได้อีกทางหนึ่ง

    เงินลงทุน ประมาณ 1,000 บาท(กากน้ำตาลราคาแกลลอนละ 180 บาท (5 ลิตร)
    ถัง 200 ลิตร ราคา 120 บาท)
    รายได้ ประมาณ 2,000 – 3,000 บาท/เดือน
    อุปกรณ์ ถังมีฝาปิด ถุงปุ๋ย กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง หัวเชื้อจุลินทรีย์ ขยะเศษอาหาร
    แหล่งจำหน่าย เชื้อจุลินทรีย์ (มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า “พค.1”) ขอรับได้ฟรีจากกรมพัฒนาที่ดินจังหวัดทุกแห่งหรือซื้อได้ตามร้านเคมีภัณฑ์ (มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ไบโอนิค เอฟ 60 หรืออีเอ็ม)image
    วิธีดำเนินการ
    สูตรที่ 1 การทำปุ๋ยน้ำชีวภาพจากพืช
    ส่วนผสม กากน้ำตาล 250 ซีซี
    เชื้อจุลินทรีย์ 250 ซีซี
    น้ำ 8 ลิตร
    วัตถุดิบ (เศษผัก ผลไม้หรืออาหาร)
    วิธีทำ
    1. เติมน้ำ 8 ลิตรใส่ถัง
    2. เทกากน้ำตาลละลายน้ำ
    3. ใส่หัวเชื้อจุลินทรีย์ แล้วปิดฝาทิ้งไว้ 2 วัน


    4. น้ำเศษอาหาร เศษผัก เปลือกผลไม้ ใส่ถุงปุ๋ย แล้วนำเชื้อจุลินทรีย์ใส่ในถุง ปุ๋ย หากน้ำจุลินทรีย์ไม่มากพอที่จะท่วมเศษอาหารในถุงปุ๋ยให้เติมน้ำเปล่าและกาก น้ำตาล
    (หรือน้ำตาลทรายแดง) ในสัดส่วน น้ำ 8 ลิตร กากน้ำตาล 250 ซีซี
    5. ทิ้งไว้ประมาณ 8 วัน ก็สามารถนำเอาน้ำจุลินทรีย์ชีวภาพมาใช้งานได้
    สูตรที่ 2 ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากปลา

    image
    ส่วนผสม ปลาเป็ดหรือปลาข้างเหลือง 40 กิโลกรัม
    กากน้ำตาล 20 กิโลกรัม
    จุลินทรีย์ 200 กิโลกรัม
    วิธีการ
    1. นำปลาเป็ดหรือปลาข้างเหลืองมาล้างความเค็มจากเนื้อปลา หากไม่ล้างเมื่อนำมาเป็นปุ๋ยดินจะเค็ม
    2. นำจุลินทรีย์ละลายในน้ำอุ่น 20 ลิตร คนให้เข้ากันนาน 15 – 30 นาที อย่าให้น้ำนิ่ง จะได้มีอากาศถ่ายเทตลอดจุลินทรีย์สามารถทำปฏิกิริยากับเศษอาหารได้ดีขึ้น
    3. ใส่ปลาสดลงในถัง200 ลิตร เติมจุลินทรีย์ตามด้วยกากน้ำตาลและน้ำสะอาดใส่ให้ท่วมเนื้อปลาคนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติโดยไม่ต้องปิดฝา 20 –30 วัน
    และต้องกวนให้เข้ากันวันละ 4 –5 ครั้ง ตลอดระยะเวลาในการหมัก
    4. สังเกตว่าปลาย่อยสลายหมดแล้ว ปุ๋ยที่ได้จะมีลักษณะเป็นของเหลวข้นสีน้ำตาลเข้มหรืออาจยังเหลือกากเล็กน้อย เติมน้ำให้เต็มถังแล้วคนให้เข้ากันก่อนที่จะนำไปใช้
    5. หากต้องการนำปุ๋ยน้ำไปฉีดพ่นทางใบ ให้ผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพ 1 ลิตรกับน้ำ 200 ลิตร แต่หาก ต้องการนำไปราดโคนต้น ให้ผสมปุ๋ยน้ำชีวภาพ 1 ลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร
    ตลาดจำหน่าย ตลาด ร้านขายต้นไม้
    ข้อแนะนำ ประโยชน์ของน้ำจุลินทรีย์ สามารถดับกลิ่นเหม็นช่วยย่อยก๊าซไข่เน่าอันเกิดจากไขมัน โดยใช้ผสมน้ำอัตราส่วน 1 ต่อ 10 เทใส่ห้องส้วม ห้องน้ำ ห้องเก็บขยะ ท่อน้ำทิ้งร่องระบายน้ำ ทำให้น้ำใสช่วยย่อยไขมันในบ่อดักไขมัน ถ้าใช้กับต้นไม้ให้ผสมน้ำ 200 ลิตรกับน้ำจุลินทรีย์ 1 แก้ว รดต้นไม้ทุก 3 หรือ 5 วันก็ได้

    ต้นไม้กระถางลดโลกร้อน

    สินค้าไอ เดียใหม่เหมาะเป็นงาน parttime   ที่ตอบสนองผู้ที่ชอบต้นไม้  แต่ไม่อยากยุ่งยาก การจับต้นไม้มาใส่กระป๋อง เหลือเพียงขั้นตอนแค่รดน้ำ ก็ได้เห็นดอกไม้ออกดอกให้อย่างสวยงามในเวลาไม่นาน เป็นความภูมิใจของผู้ที่เป็นเจ้าของ ทำให้ไอเดียแบบนี้ได้รับการตอบรับทันที  โดยเฉพาะในวันเทศกาลสำคัญจะมียอดขายพุ่งแรงเป็น พิเศษ“ผมก็เริ่มมีการออกแบบแพ็คเกจ และมีการดีไซน์ เอารูปแบบไปให้คนอื่นช่วยดู ก็ได้ดีไซน์ที่ลงตัว การออกแบบรูปแบบกล่องออกมา ถ้าดีไซด์ดี  และหลากหลาย ก็จะทำให้ขายได้หลายโอกาส ตอนแรกตั้งใจขายแค่เทศกาลปีใหม่  วาเลนไทน์  ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จ  แต่ตอนนี้ก็ขายได้ตลอด ไม่ต้องอยู่ในเทศกาลให้ของขวัญก็ขายได้”
    imageวงแรกเขานำเข้าสินค้านี้มาขายจากใต้หวัน  ทำให้ได้เห็นกระแสตอบรับจากลูกค้า เขาจึงลงมือศึกษา  และผลิตสินค้าต้นไม้กระป๋องขึ้นมาจำหน่ายเอง “เพราะการที่ผมได้ไปต่างประเทศบ่อย ทำให้เห็นอะไรมาเยอะ ก็นำมาดัดแปลง  ชุดแรกเราเอามา จากต่างประเทศมาเลย แล้วดูว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้าง ก็เลือกวัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกัน เช่น การดูดซับน้ำ การกันเชื้อรา เร่งการเติบโต ถ้าใช้ทดแทนกันได้ก็เอามาใช้ ได้ทดลองปลูกเองก่อน  ดินปลูกเราใช้ ปุ๋ยชีวภาพที่ทำเอง  ตอนนี้เรามีกระป๋องรุ่นใหม่ ใช้กระป๋องแบบมาม่า ซึ่งแบบเก่าเป็นกระป๋องโค๊ก แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ดี แต่เวลาเปิดอาจคม ผมออกแบบดีไซน์แพ็คเกจมาเรื่อยๆ  ก็ มาลงตัวที่รูปแบบนี้”
    “ ตอนนี้มีสินค้า ประมาณ 15 ชนิด  ที่เป็นส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มไม้ดอก เป็นดอกในกลุ่มที่ต้นไม่สูงมาก มี ทานตะวันแคระ ดาวเรือง ซันเวีย เดซี่ คาร์เนชั่น  และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นไม้ ที่กินได้ เช่น มะเขือเทศ  เชอรี่  และ พืชสมุนไพร  นอกจากนี้กลุ่มพวกถั่วที่เรียกว่า เมจิกบีน ที่ปลูกอยู่ในแพ็คimage เกจรูปไข่  ตัวต้นไม้เราจะมีชื่อ เรียก และมีข้อความสื่อความหมายซึ่งเป็นจุดขายสำคัญของสินค้านี้”  เช่น  1.Magic Bean (ต้นถั่ว) 2.Memory 3.Waiting for love 4.Always Happy 5.Love hiding in the heart 6.Lucky clover 7.Virtue 8.Assist 9.Happy all day 10.Plant 11.Courage 12.Plant 13.Spicy chilly 14.sun Flower 15.Very Very Spicy
    สำหรับการดูแล  “ต้นไม้ที่เลือกมานี้ จะเป็นต้นอ่อนไม่มีแกนกลาง ถ้าปลูกแล้วขึ้นเต็มหมด จะอยู่ได้สั้น เพราะอาหารในกระป๋องมีจำกัด ถ้าปลูกได้ดี  ก็จะอยู่ได้ ประมาณ 1 ปี ปณิธิแนะนำว่าให้เลี้ยงอยู่ 2-3 ต้นก็พอ มันจะแตกตัวขึ้นมาเอง เวลาออกดอกจะอยู่ที่ประมาณ 2 เดือน ขึ้นกับอากาศ และการให้น้ำ การให้น้ำไม่ต้องให้เยอะ  วิธีการปลูกและการดูแล รักษา ก็จะมีติดมาให้กับต้นไม้กระป๋องด้วย  สำหรับ ปัญหาที่พบ ก็มีในเรื่องที่ลูกค้าบางรายอาจจะบอกว่าไม่ขึ้น  ที่จริงอาจต้องรอระยะหนึ่ง  การไม่ขึ้นเลย โอกาสน้อยมาก  บางคนอาจจะเลี้ยงแล้วโตช้า  ตรงนี้ก็จะขึ้นกับสภาพอากาศ และการรดน้ำด้วย และต้องไม่ออกไม่โดนแดดแรงๆ ต้นไม้จะตาย” ปณิธิให้คำแนะนำ
    ในการทำสินค้านี้ เขาเริ่มทำมา 4 เดือนแล้ว โดยเริ่มออกงานแสดงบูท  และมีผู้สื่อข่าวมาเห็น ก็มาสัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์  เพียงไม่นานก็ทำให้สินค้าของเขาเป็นที่รู้จัก และได้รับการสั่งซื้อเพื่อไปจำหน่าย “มีมาออกงานที่เมืองทองมีสื่อหลายฉบับมาสัมภาษณ์  ก็ทำให้ได้ลูกค้าที่เป็นตัวแทนขาย ก็ประสบความสำเร็จ มีรับไปขายประมาณ 10 กว่าเจ้าแล้ว ที่มาเร็วมากเพราะมีการบอกต่อ  ช่วงที่ผ่านมาขายได้เยอะเพราะเป็นช่วงวาเลนไทน์  พอดี สินค้าของผมยอดจะพุ่งช่วงที่เป็นเทศกาล อย่างเช่นปีใหม่  วันวาเลนไทน์ ก็จะขายดีมาก   ถ้ามีงานรับปริญญาขึ้นมานิดนึง”
    ปัจจุบัน  เขาขายไปแล้ว หลายพันกระป๋องซึ่งราคาขายปลีก อยู่ที่กระป๋องละ 80 บาท เขาพูดถึงกลุ่มผู้ซื้อว่า “กลุ่มใหญ่ที่สุดที่เป็นลูกค้าคือ กลุ่มนักศึกษาที่ซื้อเป็นของฝากของขวัญให้กัน  และก็ มีกลุ่มคนวัยทำงาน ที่ไม่ค่อยมีเวลา  และไม่มี พื้นที่ปลูกต้นไม้   ทำให้สินค้านี้ตอบสนองความต้อง การตรงนี้  อีกกลุ่มหนึ่งตัวแทนขาย ขายดีมากคือ ขายในย่านที่มีกลุ่มชาวต่างชาติ เขาจะชอบมาก จะเหมาที่ละเป็นสิบๆกระป๋อง เพราะที่บ้านเขาราคาแพง สินค้าที่นิยมซื้อไปส่วนใหญ่  จะ เป็นพืชสมุนไพร เช่น ใบสาระแหน่  ถึงแม้ว่าบ้านเขา อากาศเขาหนาวแต่เขาปลูกในบ้านได้ ต้นไม้เหล่านี้อยู่ได้ในอุณหภูมิระหว่าง 15-35 องศา” ชาวต่างชาติบางคนก็ซื้อไปขายที่ประเทศของเขาเองด้วย  ซึ่ง จะขายกันประมาณกระป๋องละ 200-300 บาท
    ส่วนอนาคตของธุรกิจนี้นั้น ปณิธิบอกว่า “กิจการน่าจะไปได้เรื่อยๆ  แต่ ผมยังไ ม่พอใจกับตัวต้นไม้ด้วย น่าจะทำได้ดีกว่า การทำธุรกิจนี้จะยังคงเติบโตได้เรื่อยๆ เนื่องจากต้นไม้มีความหลากหลายมาก  ที่ผู้ขายจะขายได้ตลอด จากพันธ์ต้นไม้ใหม่ๆ  และแปลกๆ  การทำธุรกิจนี้ ทำให้คนทั่วไปได้รู้จักต้นไม้กันมากขึ้น สินค้านี้จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการรักสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติด้วย
    ที่มา franchisefocus

    รับจ้างถอนหงอก

    อาชีพทำเงินที่ไม่น่าจะทำเงินได้แต่ชั่วโมงนี้กลายเป็นงาน Parttime อีกอาชีพ ให้คนว่าง นำไปใช้ทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสันกันไปแล้วนั่นก็คืออาชีพ"รับจ้างถอนหงอก


    วรนันท์ โดดเดชา หรือ “เจ๊จู” วัย 54 ปี ผู้เช่าพื้นที่ขนาด 4 ตารางเมตร

    บนชั้น 2 ของร้านค้าสหกรณ์พระนคร หน้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสอารีย์

    เป็นหนึ่งในคนตกงาน ที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ความถนัดที่คน

    คิดไม่ถึงมารับจ้างถอนหงอก งานสบายรายได้ดี

    นักถอนหงอก มือวางอันดับ 1 ย่านซอยอารีย์ บอกว่า

    ระหว่างการย้อมสีผมให้ดำ กับการถอนผมหงอก

    ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง

    “ต่อให้ใช้น้ำยาย้อมดีแค่ไหน ยังไงก็ปิดโคนผมขาวได้ไม่มิด

    สู้ถอนทิ้งทั้งเส้นไม่ได้”
    และนี่ก็เป็นอีกงาน Parttime ที่น่าลอง

    อาชีพสานกระเป๋าพลาสติก

    อาชีพอิสระสำหรับสร้างรายได้เสริมที่กำลังมาแรง งานฝีมือที่ทำได้ง่ายแต่รายได้ดี เส้นทางทำเงิน ทำด้วยตัวเองที่บ้านไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครสินค้าไทยกำลังโกอินเตอร์ เป็นที่ต้องการทั้งในและต่างประเทศในขณะนี้ อย่ารอช้า รีบหาวิชาใส่ตัวเองในราคาที่ถูกสุดๆ กับ อาชีพสานกระเป๋าพลาสติก ทุกขั้นตอนเข้าใจง่าย แถมเส้นพลาสติกให้ทุกท่านสามารถสานได้เองฟรี



    ชิ้นงานที่ได้มีความหลากหลายไม่ว่าจะสร้างเป็นกระเป๋า ตระกร้า กล่อง ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรคร์ของแต่ละท่าน หากสนใจอยากทำลองติดต่อดูนะครับ หากทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มีบริการ vcd สอนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ให้นำมาฝึกฝีมือกันอีกด้วย ต้นทุนต่ำไม่สูงนัก ตัวอย่างสินค้าที่ทำสำเสร็จแล้ว


    สนใจติดต่อได้ที่ http://www.websabai.tht.in/index.html

    หมูย่าง..เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ทำเงินได้ดีมาก

    อาชีพที่เหมาะสำหรับหารายได้เสริมอีกอย่างที่น่าสนใจและกำไรงานอีกอย่างหนี่งที่ทำเงินได้อย่างดีมากๆ ใช่แล้ว หมูย่างข้าวเหนียวร้อนๆ ลองทำดูก็ไม่เสียหายตอนเช้าก่อนออกไปทำงานหรือตอนเย็นตอนกลับมาทำงานลองแปลงร่างเป็นพ่อค้าแม่ค้าขาายหมูย่างดูสิ อาจจะพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตก็ได้

    หมูปิ้งมีหลายสูตร ลองเลือกหาเอาตามใจชอบ แต่ขอบอกว่า ทุกสูตรใช้ขายได้จริง ๆ นะครับ แต่เคล็ดไม่ลับ ก็คือ ไฟในเตาที่จะต้องลุกแดงสม่ำเสมอ ที่สำคัญจะต้องให้มีควันขึ้นขโมง .. ถ้าอยากให้มีเสน่ห์มากขึ้น ก็ต้องมี น้ำจิ้มหลากรสครับ เช่น น้ำจิ้มแจ่วรสแซบ , น้ำจิ้มหวานไก่ มีผักสด พริกขี้หนูเป็นกับแกล้ม มีแหนมปิ้งด้วยยิ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายนะครับ
    สูตรที่หนึ่ง หมูปิ้งปะทะนมสด รสกลมกล่อม หม่อมถนัดศรีพลีชีพ ลองลิ้มชิมรส หมดยกเตา

    เครื่องปรุง
    เนื้อหมู เอาติดมันก็ได้ หรือ เนื้อสันก็ดี 1 กิโลกรัม
    ซีอิ้วดำ 1/2-1 ชต.
    นมข้นจืด 3-4 ชต. หรือนมสด 1 ถ้วย
    น้ำตาลปิ้บ 1/2 ถ้วย
    น้ำตาลทรายนิดหน่อย
    น้ำมันหอย นิดหน่อย
    ซีอิ้วขาวเห็ดหอม 2-3 ชต
    กระเทียม รากผักชี พริกไทย 2ชต.
    น้ำมันมะกอก 2-3ชต.

    ผสมกันเสร็จชิมดูก่อนว่ารสออกมาแบบไหน ถ้าชอบหวานชอบเค็มก็เต็มเพิ่มลงไป

    วิธีทำ
    ล้างหมูให้สะอาดแล้วแล่ อย่าบางมากคลุกเคล้ากับส่วนผสมแล้ว แช่ในตู้เย็นสัก 1-2 วันค่อยนำออกมาเสียบไม้ปิ้ง

    หรือ

    เจ้าของสูตรเดิมเขาเสียบไม้ไว้เลยแล้วแช่ฟิต 3 วัน ค่อยเอาออกมาปิ้ง แช่ฟิตจะทำให้หมูนุ่มมาก ๆ

    เวลา ปิ้งน้ำปรุงที่เหลืออย่าทิ้งนำน้ำกะทิมาผสม ตอนปิ้งก็ใช้น้ำปรุงนี้ทาลงไปที่หมูกำลังปิ้งเพื่อให้หยดลงไปถ่านกำลังร้อน ๆ จะได้มีควันหอม ๆ รมหมูด้วย


    *******************************************************************

    สูตรที่สอง หมูปิ้งรสชาววัง

    เครื่องปรุง
    1.หมูสันนอก 1 กิโลกรัม
    2.น้ำมันหอย 1/2 ถ้วย
    3.ซอสปรุงรส 1/2 ถ้วย
    4.น้ำปลา 1/2 ถ้วย
    5.น้ำตาลปี๊ป 300 g.
    6.แป้งมัน 1/4 ถ้วย
    7.น้ำมันพืช 1/2 ถ้วย
    8.กระเทียม พริกไทย รากผักชี (ตามแต่ชอบครับ อันนี้แล้วแต่เลย ชอบมากก็ใส่มากหน่อย)


    วิธีทำ
    1. หั่นเนื้อหมูให้เป็นชิ้นบางๆพอคำนะครับ อันนี้ยิ่งบางเท่าไหร่เครื่องปรุงก็เข้าเนื้อมาก เวลาเสียบไม้ย่างได้ใช้เวลาไม่นาน แล้วเครื่องปรุงก็เข้าเนื้อได้ดีกว่าชิ้นใหญ่ๆอะครับ

    2. นำกระเทียม พริกไทย รากผักชี โขลกรวมกัน และ ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไปในภาชนะที่เตรียมไว้ แล้วคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี

    3. นำเนื้อหมูที่หั่นไว้แล้วคลุกเคล้ากับเครื่องปรุง ใช้มือนวดเบาๆ แบบใจเย็นๆ ให้น้ำแห้งหมาดๆ (ใช้เวลาประมาณ 25 นาที)

    4. นำหมูที่นวดเสร็จแล้ว แช่ตู้เย็นช่องฟรีซอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าในเนื้อและจะทำให้หมูนุ่มได้ที่

    5. ครบกำหนดเวลา นำหมูมาเสียบไม้ ตามความยาว แล้วเรียงใส่กล่อง ให้สวยงาม แล้วนำเข้าช่องเย็นอีกที ก่อนนำมาปิ้งนะครับ


    *******************************************************************

    สูตรที่สาม หมูปิ้งรสดั้งเดิม

    เครื่องปรุง
    เนื้อหมู 600 กรัม
    กระเทียมกลีบใหญ่ 5-6 กลีบ
    พริกไทยเม็ด 1 ช้อนโต๊ะ
    ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
    ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
    หัวกะทิ 1/3 ถ้วย

    วิธีทำ
    1. ล้างเนื้อหมูให้สะอาด ซับน้ำให้แห้งแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 2 นิ้ว หนาประมาณ 3 มิลลิเมตร

    2. ปลอกเปลือกกระเทียม ล้างน้ำให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปโขลกให้ละเอียดพร้อมพริกไทยเม็ด

    3. นำกระเทียมพริกไทยที่โขลกได้ใส่ลงไปในเนื้อหมูที่หั่นไว้ เติมเครื่องปรุงต่างๆ และกะทิ 3 ช้อนโต๊ะลงไป คลุกเคล้าเครื่องปรุงต่างๆ ให้เข้ากันแล้วหมักไว้ประมาณ 3 ชั่วโมงหรือทิ้งไว้ข้ามคืน

    4. เมื่อหมักได้ที่แล้ว นำเนื้อหมูที่ได้มาเสียบไม้ (ก่อนเสียบไม้ให้นำไม้ไปแช่น้ำไว้ก่อนประมาณ 30 นาที เพื่อช่วยไม่ให้ไม้ไหม้)

    5. เริ่มต้นทำการปิ้งโดยวางหมูที่เสียบไม้เรียบร้อยแล้วลงบนตะแกรง นำหัวกะทิที่เหลือมาทาให้ทั่วทุกไม้

    *******************************************************************

    สูตรที่สี่ หมูปิ้งรสนมสดดั้งเดิม

    เครื่องปรุง
    1. เนื้อหมู 1 kg.
    2. พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
    3. กระเทียมกลีบเล็กปลอกเปลือก ประมาณ 2 หัว
    4. รากผักชี 5-6 ราก
    5. เกลือป่น 1 ช้อนชา
    6. นมข้นจืด 3 - 4 ช้อนโต๊ะ สำหรับหมัก 3 ช้อนโต๊ะ สำหรับย่าง
    7. น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วย
    8. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
    9. ซีอิ้วดำ 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ
    10. แป้งมัน หรือแป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ
    1. หันหมูเป็นชิ้นและบางตามความค้องการ
    2. นำกระเทียม รากผักชี พริกไทย มาตำละเอียด
    3. นำเครื่องปรุงทั้งหมดมาคลุกเคล้ากับหมูเพื่อหมัก ประมาณ 1 - 2 ชม. ใส่ตู้เย็น แล้วนำหมูมาเสียบไม้
    4. ย่างหมูครับ ไฟพอประมาณ เวลาย่างก็เอานมข้นจืดทาหมูด้วยนะครับ ใช้กะทิสดแทนก็ได้ถ้าไม่ใช้นม

    *******************************************************************

    สูตรที่ห้า หมูปิ้งรสนมสดรสกลมกล่อมเน้นเนื้อนุ่มเหนียว

    เครื่องปรุง
    สำหรับหมักหมู 1 กิโลกรัม
    พริกไทยป่น 1 ช้อนชาตำรวมกับกระเทียมกลีบเล็ก ไม่ต้องปอกเปลือก 1 หัวโต ๆ
    ซีอิ้วดำ 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ
    เกลือป่น 1 ช้อนชา
    นมข้นจืด 3 - 4 ช้อนโต๊ะ (อย่าใส่มากเกินไป เพราะหมูจะลื่นทำให้เสียบไม้ลำบาก)
    น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วย และ น้ำตาลทรายนิดหน่อย พอให้ออกรสหวานปะแล่ม ๆ

    วิธีทำ
    แล่ เนื้อหมูตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำเครื่องหมักทั้งหมดลงผสม ขยำให้เข้ากันสักครู่แล้วนำไปเสียบไม้ เสร็จแล้วนำใส่ในกล่องมีปิดฝา เก็บในตู้เย็นในช่องแข็ง 2 - 3 วัน ก่อนนำมาปิ้งกับเตาถ่านให้สุก รับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ
    *******************************************************************

    เก็บตกมาให้ครับ
    - ถ้าจะให้สุดยอดยิ่งขึ้นควรจะใส่ซอสหอยนางรมไปบ้างเล็กน้อย ควรใช้ซอสหอยอย่างราคาไม่แพงเพราะว่ามีแป้งผสมอยู่บ้างแล้ว เหยาะผงกระหรี่พอเห็นด้วยหางตา เวลาปิ้งควรพรมน้ำหมักไปด้วยเล็กน้อยจะทำให้เกิดควันและกลิ่นซึ่งเป็นหัวใจ ของการขาย แต่อย่าให้ถึงขนาดมองหน้ากันไม่รู้เรื่อง ปิ้งกะว่าเกือบสุก เมื่อมีลูกค้าจีงค่อยปิ้งตอนจบ จะทำให้หมูปิ้งของคุณไม่แห้ง อวบอูมอิ่มเอิบน่ารับประทาน ใส่ถุงพลาสติกมัดให้แน่น ย้ำลูกค้าว่าอย่าเปิดจนกว่าจะทาน

    - โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ( 3 อย่างนี้อย่าขี้เหนียวนะเพราะจะทำให้หอมมากครับ) หมักทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 2 ชม.เพื่อให้เครื่องปรุงซึมเข้าถึงเนื้อ แต่ถ้าคุณต้องการทำขายควรหมักทิ้งไว้ข้ามคืน

    - ปกติจะหมักหมูที่หั่นแล้ว การหั่นมีหั่นสองแบบ แบบแรกคือใช้หมูสันนอกเนื้อจะแข็งไม่มีมัน แล่เป็นแผ่นเลยกับอีกแบบคือ ใช้หมูสันใน เนื้อจะแดงๆ ไม่เป็นแผ่นๆ มันแทรกนิดหน่อย หั่นชิ้นเล็กๆ ยาวๆ ไม่ต้องหนา

    - เวลาหั่นเลือกหั่นตามขวาง ลายเส้นของหมู จะกัดง่ายขึ้น เวลาซื้อนี่เลือกติดมันหน่อยหนึ่ง

    - การทำให้หมูนุ่มหลัก ๆ มีสี่สูตรครับ คือ

    สูตรหมูนุ่มสูตรแรก ใส้แป้งมันหมัก กะ หมู ผลที่ได้ จะได้ นุ่มแบบ ดึ๊ง ๆ เหมือน หมู ใน ราดหน้า ร้านดัง ๆ

    สูตร ที่สอง หมักหมู กะ มะละกอดิบครับ ขยำ ๆ ทิ้งไว้ สองชม นิด ๆ เนื้อหมูที่ได้ จะ นุ่ม แบบ ยวบ ๆ ประมาณว่าแค่เอามีดลูบ ๆ ก้อขาด (อย่าหมักนานมากนะ เดี่ยว จะเละซะก่อน)

    สูตร หมูนุ่มสูตรสาม คือ ใส่ Baking Soda แต่แหวะ ไม่อร่อยเท่าไหร่ มันจะนุ่มแบบไม่นุ่ม (งงปะ) แต่ตลาดทั่วไปชอบใช้สูตรนี้ เพราะมันประหยัดต้นทุนครับ

    สูตร หมูนุ่มสูตรสี่ คือ ขยำมะม่วงหวานลงไป ในขั้นตอนสุดท้ายอย่ามาก แค่เอาสีกับกลิ่น สูตรนี้จะทำให้หมูของคุณแดงแบบส้ม ๆ ไม่เหมือนใช้มะละกอ และจะออกหวาน ๆ มัน ๆ แทนกลิ่นซี้อิ๊ว แต่ผมว่าแรก ๆ จะอร่อยนะ แต่นาน ๆ ไปมันจะไม่อร่อย เพราะมันจะติดลิ้นว่าหวาน แต่สูตรนี้กินกับน้ำจิ้มแจ่วอร่อยเหาะไปเลยครับ เพราะมันจะไปตัดกับเค็มของน้ำจิ้มแจ่ว ออกหวานแบบอร่อย ๆ

    สุดท้าย ท้ายสุด
    เนื้อ หมูที่ใช้ ควรเป็นเนื้อสันส่วนขาหลัง ติดมันนิดหน่อย ถ้าเนื้อหมูที่ซื้อมาติดมันมากเกินไปก็ให้แล่เอามันออกทิ้งไปบ้าง เวลาแล่เนื้อหมูก็ต้องพยายามแล่ให้ได้ขนาดเสมอกันเพื่อความสวยงาม เวลาเสียบก็ต้องเสียบเนื้อหมูตามขวาง เนื้อหมูจะได้ดูหนา เวลากินจะไม่เหนียว และที่สำคัญจะต้องหมักหมูทิ้งไว้ในช่องฟรีซสัก 2 -3 วันถึงจะดี เวลาจะนำมาปิ้งก็เอาออกมาจากช่องฟรีซ แล้วทิ้งให้น้ำแข็งละลายก่อน เครื่องจะเข้าเนื้อและนุ่ม ถ้าหมักแล้วย่างเลยจะไม่อร่อย เวลาปิ้งจะไม่สวย เนื้อหมูก็จะติดตะแกรงด้วย

    สูตรไหน ๆ ก็ทำเงินได้ครับ เอาที่คุณถนัดและคิดว่าทำรสออกมาได้กลมกล่อม แต่ถ้าถามผม ต้องสูตรที่หนึ่ง หมูปิ้งปะทะนมสด รสกลมกล่อม หม่อมถนัดศรีพลีชีพ ลองลิ้มชิมรส หมดยกเตา

    เปเปอร์มาเช่ (1)

    เปเปอร์มาเช่ เป็นงานที่ทำจากกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้แล้ว กระดาษพิมพ์ดีดหรือกระดาษที่ไม่มีลวดลายสำหรับปิดชั้นนอกสุดเพื่อเตรียมการลงสีงานที่ได้สามารถนำไปประยุติ์ใช้งานได้หลายแบบเช่น ทำเป็นพวงกุญแจ ทำแจกัน ทำตุ๊กตา ไว้ประดับบ้านหรือประดับสวน แล้วแต่จะคิดได้นะครับ



    หลักการทำของงานเปเปอร์มาเช่คือ การนำกระดาษที่ถูกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ และผ่านการแช่น้ำจนเปื่อยแล้วมาปิดลงบนแบบที่เตรีบมไว้ ปิดหลายๆ ชั้น แต่ละชั้นจะทากาวไว้และจะต้องรอให้กาวแห้งก่อน แต่งผิวให้เรียบร้อย เสร็จแล้วจึงตกแต่งด้วยสี การเปเปอร์มาเช่เป็นงานที่คุณสามารถสร้างผลงานตามจินตนาการของตัวเองได้โดยไม่ซ้ำแบบใคร ลงทุนน้อย จะนำตัวอย่างที่เป็นชินงานเรียบร้อยมาให้ดูกันนะครับ










    พวงกุญแจ
    ใครมีฝีมือลองทำเป็นรายได้เสริมก็ไม่เลวนะ หากทำไม่ได้ก็อาจจะซื้อมาขายต่อก็น่าสนใจไม่่น้อย ดีไม่ดีอาจจะรวยแบบไม่รู้เนื้อรู้ต้วก็เป็นไปได้นะครับ

    เตรียมตัวอย่างไร ก่อนไปสมัครงาน

    สมัคร งาน’ เพื่อให้ได้ ‘งาน’ ไม่ใช่สักแต่ว่าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปยื่นใบสมัครแล้วจะได้งานทันที เพราะหลายเหตุผลคุณๆ ส่วนใหญ่มักพลาดในการสมัครงานแต่ละครั้งคือ คุณไม่รู้จักเขา และ เขาไม่รู้จักคุณ นั่นเอง

    ทำอย่างไรเมื่อ‘คุณไม่รู้จักเขา’


    • รู้หรือไม่ว่า บริษัทหรือองค์กรที่กำลังจะไปสมัครงานนั้น ชื่ออะไร
    ประกอบธุรกิจด้านใด มีผลการเจริญเติบโตในธุรกิจอย่างไร ที่สำคัญ ตั้งอยู่ที่ไหนและจะเดินทางไปได้อย่างไร

    • ตำแหน่งงานที่สมัคร ต้องมีความรู้และคุณสมบัติที่จำเป็นอะไรบ้าง

    • ควรรู้ ค่าตอบแทน เงินเดือน สวัสดิการ ค่าทำงานล่วงเวลา ที่คุณสามารถเรียกร้องและเป็นที่พอใจของบริษัทได้

    ทำอย่างไรเมื่อ ‘เขาไม่รู้จักคุณ’

    • จดหมายสมัครงานและหลักฐานแสดงคุณสมบัติต่าง ๆ อาจขาดความน่าสนใจ ทำให้บริษัทไม่เลือกคุณเข้าทำงานได้ ดังนั้นต้องพิถีพิถันกับเอกสารเหล่านี้ให้มาก เพราะเป็นสิ่งเหล่านี้เป็นด่านแรกที่จะเบิกทางให้บริษัทรู้จักคุณและสนใจคุณ ได้

    • เตรียมเอกสารการสมัครให้พร้อม ประกอบด้วย จดหมายสมัครงาน รูปถ่าย เอกสารประวัติย่อ สำเนาแสดงวุฒิการศึกษา สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ใบผ่านงาน และเอกสารอื่น ๆ ที่แสดงคุณสมบัติสอดคล้องกับตำแหน่งที่สมัคร

    • ในจดหมายสมัครงานหรือใบกรอกสมัครงาน พยายามเขียนถึงคุณสมบัติและความสามารถที่คุณสามารถทำได้ งานอดิเรก หรือสิ่งที่ชื่นชอบ เพื่อสร้างแรงดึงดูดและความน่าสนใจให้เกิดกับคุณมากที่สุด

    • การใช้ไวยากรณ์ การสะกดคำถูก - ผิด สำนวนการเขียนต้องกระชับ ไม่วกวนแต่ชัดเจนในทุกคุณสมบัติที่แสดงถึงตัวคุณ

    • ไม่มีรอยขาด ยับ ขีดฆ่า บนจดหมายและเอกสารทั้งหมดที่จะนำไปสมัคร เพราะความสะอาดและความเรียบร้อยเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับเข้ามาทำงาน เช่นกัน

    การเตรียมพร้อมที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง คุณว่าจริงไหมคะ?

    คำถามที่มักถูกถามในห้องสัมภาษณ์

    การเตรียมตัวเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งาน เพราะทุกขั้นตอนของการสัมภาษณ์ ล้วนมีผลต่อการพิจารณาว่าจะรับคุณเข้าทำงานหรือไม่ และขั้นตอนที่สำคัญที่สุดก็คือการถามตอบระหว่างการสำภาษณ์นั่นเอง คุณควรเตรียมตัวในขั้นตอนนี้ให้มาก
    โดยปกติแล้วจะมีคำถามยอดนิยมที่ผู้สัมภาษณ์มักจะถาม ซึ่งคุณควรเตรียมคำตอบเอาไว้แต่เนิ่นๆ คำถามที่มักถามในห้องสัมภาษณ์ มีดังนี้


    1. ช่วยแนะนำตัวเองหน่อยค่ะ

    2. ทำไมคุณถึงลาออกจากงานเก่า / ทำไมคุณถึงอยากลาออกจากงานปัจจุบัน

    3. คุณรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับบริษัทนี้

    4. ทำไมคุณถึงสนใจบริษัทของเรา

    5. อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของคุณ

    6. อะไรคือจุดแข็ง และจุดอ่อนของคุณ

    7. ทำไมคุณถึงอยากทำงานกับบริษัทของเรา



    8. เหตุการณ์ใดที่คุณคิดว่าเคยประสบความสำเร็จที่สุด

    9. คุณมีเป้าหมายอย่างไรในอาชีพนี้

    10. คุณคิดว่าเจ้านายและเพื่อนร่วมงานเก่าพูดถึงตัวคุณว่าอย่างไรบ้าง

    11. ทำไมดิฉันถึงต้องจ้างคุณ

    12. คุณคาดหวังว่าจะได้รับเงินเดือนเท่าไหร่

    การ เตรียมตัวสำหรับการตอบคำถามในการสัมภาษณ์ ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปตอบคำถามให้ถูก เพราะว่าการสัมภาษณ์ไม่มีคำตอบที่ถูก หรือผิด มีเพียงแต่คำตอบที่แสดงตัวคุณออกมาเท่านั้น ควรเตรียมคำตอบที่เหมาะสม สุภาพ และเป็นตัวของตัวเอง เพราะผู้สัมภาษณ์จะได้ทราบว่าทัศนคติ รวมทั้งตัวคุณเหมาะสมที่จะทำงานกับบริษัทหรือไม่

    คุณจึงควรเตรียมคำ ตอบ ที่เป็นตัวของตัวเอง สุภาพ และหลีกเลี่ยงการตอบเพียงแค่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แล้วก็จบ แต่ควรอธิบายต่อไปด้วย เพื่อเป็นการแสดงความคิดเห็นของคุณออกมา ให้ผู้สัมภาษณ์ได้เห็นตัวตนของคุณ ระหว่างการสัมภาษณ์ก็ไม่ควรประหม่า หรือเคร่งเครียดจนเกินไป ควรตอบคำถาม หรือถามคำถามด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย เมื่อจบการสัมภาษณ์ก็อย่าลืม กล่าวขอบคุณผู้สัมภาษณ์ด้วย

    วิธีหางานให้ได้อย่างใจ

    หลายครั้งที่คุณคิดที่จะ อยากเปลี่ยนงานหางานให้ได้อย่างใจ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่การหางานให้ได้อย่างใจหรืองานที่ทำแล้วมีความสุข หรืองานที่เหมาะกับคุณจริง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะยากจนเกินไป แต่ต้องเตรียมพร้อมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มหางานใหม่ที่คุณต้องการ
    หากคุณกำลังคิดถึงเรื่องการเปลี่ยนงานหรือหางานให้ได้อย่างใจอยู่ละก็ คุณควรแจกแจงดูก่อนว่าคุณมีปัญหาอะไรบ้างกับงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และควรดูให้มั่นใจว่าปัญหาเหล่านั้นคุณไม่สามาถที่จะแก้ไขได้จริง ๆ
    ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกเพื่อที่จะไปหางานใหม่ คุยกับเจ้านายดูก่อน นั่นก็เพราะว่า บริษัทที่มีความก้าวหน้ามักรู้ดีว่าพนักงานที่มีความมุงมั่นในชีวิตนั้น สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของบริษัท ซึ่งหมายถึงว่า เจ้านายของคุณอาจจะยอมอ่อนข้อมางอนง้อให้คุณอยู่ทำงานที่เดิมต่อไป หากว่าเขารู้ความต้องการที่แท้จริงของคุณ

    อย่างไรก็ตาม หากไม่มีหนทางไหนที่จะทำให้คุณรู้สึกมีความสุขกับการทำงานที่นั่นแล้วละก็ คงถึงเวลาที่คุณจะมองหางานให้ได้อย่างใจ และนี่คือ กลเม็ด 8 ข้อ ซึ่งจะช่วยให้การเปลี่ยนงานของคุณราบรื่น เหมือนกับโรยด้วยกลีบกุหลาบ

    1. รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
    วิเคราะห์เจาะลึกถึงความรู้ความสามารถ และทักษะทุกอย่างที่ตัวเองมี จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่าน ๆ มา เรื่องนี้นับว่าสำคัญมาก เพราะมันจะทำให้คุณรู้ว่างานแบบไหนที่จะเหมาะกับความเป็นคุณมากที่สุด เมื่อรู้แล้วก็คิดดูอีกทีว่า ทักษะไหนที่คุณมี และสามารถนำไปใช้ในงานใหม่ได้บ้าง หาจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง
    ทีนี้คุณจะได้รู้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบแบบไหนกันแน่ที่ทำแล้วจะมีความสุขที่สุด

    2. เตรียมใจกับเงินเดือนที่ (อาจจะ) ลดลง
    บางครั้งการได้งานใหม่ที่จ่ายงามกว่าเดิมไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้คุณมี ความสุขจริง ๆ เพราะมันอาจจะเป็นงานที่คุณไม่ได้รักที่จะทำสักเท่าไหร่
    หากคุณเป็นหนึ่งในประเด็นที่เรากล่าวถึง เตรียมใจไว้กับการที่อาจจะต้องรับเงินเดือนต่ำลงกว่าเดิม หากงานที่คุณอยากทำจริง ๆ ไม่ได้ทำรายได้ดีนัก
    ลองมองในอีกแง่ว่า การที่คุณมีความสุขกับการทำงานมีคุณค่ากว่าเงินทองเป็นไหน ๆ และยิ่งคุณมีความสุขเท่าไหร่ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในงาน ก็จะมีมากเท่านั้น ..แล้วอย่างนี้ เงินทองที่ว่าจะไปไหนเสีย

    3. หาข้อมูลของสายงานที่คุณสนใจ
    สมัยนี้แหล่งข้อมูลนั้นมีมากมายทั้งนิตยสาร, หนังสือพิมพ์ แถมด้วยอินเทอร์เน็ต ที่จะช่วยให้คุณได้รู้รายละเอียดของสายงานที่สนใจ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้แน่ใจว่า งานที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณนั้น เป็นงานที่ใช่จริง ๆ หรือเปล่า

    4. สร้างสายสัมพันธ์ในสายงาน
    ลองนึกดูสิว่าในสายงานที่คุณสนใจ มีใครที่คุณเข้าไปคุยด้วยได้บ้าง เพื่อน, ญาติพี่น้อง, หรือคนที่เคยรู้จักจากหน้าที่การงาน ฯลฯ หาโอกาสไปพูดคุยกับคนเหล่านี้ ถามพวกเขาถึงความรู้ความสามารถที่ต้องมีในสายงาน หากไม่รู้จักใครเลย การเข้าร่วมในชมรม, สมาคม หรือแม้กระทั่งเว็บบอร์ดของคนในสายงานนั้น ๆ ก็เป็นไอเดียที่ดีที่อาจทำให้คุณได้พบปะสนิทสนมกับคนในแวดวง อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อให้มีแบ็คกราวน์ติดตัวพอน่าเชื่อถือ

    5. หาทางเชื่อมสัมพันธ์กับบริษัทในฝัน
    แม้ว่างานที่คุณสนใจอาจจะยังไม่ได้เปิดรับสมัคร ก็ไม่เสียหลาย หากคุณจะเริ่มทำความรู้จักกับบริษัทที่คุณหมายตาไว้ก่อน อาจจะด้วยวิธีเข้าไป สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่คุณสนใจ หรือกิจการของบริษัทนั้น ๆ เพื่อที่ว่าเมื่อถึงยามที่คุณมาสมัครงานนั้น ๆ เข้าจริง ๆ พวกเขาจะรู้สึกคุ้นเคยกับคุณ และเชื่อมั่นว่าคุณสนใจในงานนั้นจริง ๆ และนั่นจะทำให้คุณมีภาษีดีกว่าผู้สมัครรายอื่น ๆ

    6. สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานชั่วคราว หรือขอฝึกงานฟรี ๆ ไปเลย
    วิธีนี้จะทำให้คุณได้สัมผัสกับงานหลากหลายรูปแบบ รวมถึงได้เรียนรู้ถึงการทำงานในองค์กรที่แตกต่างกันทั้งสไตล์การทำงาน, ขนาดของบริษัท และบรรยากาศในที่ทำงาน ซึ่งจะทำให้คุณรู้ได้ในทันทีว่างานแบบไหนที่เหมาะกับคุณ ก่อนที่จะถลำตัวเข้าไปเซ็นสัญญาทำงานแบบจริง ๆ จัง ๆ

    7. สร้างเสริมในส่วนที่ขาด
    ถามตัวเองดูอีกทีว่า มีสิ่งไหนที่คุณยังขาดสำหรับการทำงานในสายงานที่ชอบ หาวิธีชดเชยแก้ไขหากคุณคิดว่ามันจำเป็นจริง ๆ อาจจะด้วยการเรียนเพิ่มเติมในคอร์สเร่งรัดสั้น ๆ หรือฝึกฝนด้วยตนเองหากทำได้

    8. เน้นจุดเด่นให้ต้องตากรรมการ
    หากคุณรู้ว่าทักษะไหนในงานที่เจ้านายใหม่ของคุณมองหาอยู่ และเป็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วละก็ เน้นตรงจุดนั้นในจดหมายสมัครงานไปเลย
    การที่คุณไม่มีประสบการณ์ในสายงานนั้น ๆ ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีคุณสมบัติในการทำงานดังกล่าว ใครจะรู้ คุณสมบัติที่คุณมีในงานเดิม อาจจะช่วยเสริมส่งให้ทำงานใหม่ได้ดียิ่งขึ้นก็ได้
    ดังนั้น ..ไม่ว่าคุณจะมีทักษะอะไร อย่าละเลยเพราะเห็นว่าไม่สำคัญ หรือไม่เกี่ยวกับสายงานเป็นอันขาด

    ยังมีงานอีกมากมายรอคุณอยู่ข้างนอก เพียงแต่คุณต้องตั้งความหวังในสิ่งที่เป็นไปได้ และเชื่อว่าคุณจะทำได้จริง ๆ จำไว้ว่าคนเรามีทักษะ และพรสวรรค์ไม่เหมือนกัน ดังนั้นอย่าตัดสินใจเลือกสายงานตามคนอื่น ..แต่จงเลือกในสิ่งที่คุณเป็น แล้วคุณจะได้งานใหม่ที่ได้อย่างใจที่เหมาะกับคุณจริง ๆ