“ ตอนนี้มีสินค้า ประมาณ 15 ชนิด ที่เป็นส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มไม้ดอก เป็นดอกในกลุ่มที่ต้นไม่สูงมาก มี ทานตะวันแคระ ดาวเรือง ซันเวีย เดซี่ คาร์เนชั่น และอีกกลุ่มหนึ่งเป็นไม้ ที่กินได้ เช่น มะเขือเทศ เชอรี่ และ พืชสมุนไพร นอกจากนี้กลุ่มพวกถั่วที่เรียกว่า เมจิกบีน ที่ปลูกอยู่ในแพ็ค
สำหรับการดูแล “ต้นไม้ที่เลือกมานี้ จะเป็นต้นอ่อนไม่มีแกนกลาง ถ้าปลูกแล้วขึ้นเต็มหมด จะอยู่ได้สั้น เพราะอาหารในกระป๋องมีจำกัด ถ้าปลูกได้ดี ก็จะอยู่ได้ ประมาณ 1 ปี ปณิธิแนะนำว่าให้เลี้ยงอยู่ 2-3 ต้นก็พอ มันจะแตกตัวขึ้นมาเอง เวลาออกดอกจะอยู่ที่ประมาณ 2 เดือน ขึ้นกับอากาศ และการให้น้ำ การให้น้ำไม่ต้องให้เยอะ วิธีการปลูกและการดูแล รักษา ก็จะมีติดมาให้กับต้นไม้กระป๋องด้วย สำหรับ ปัญหาที่พบ ก็มีในเรื่องที่ลูกค้าบางรายอาจจะบอกว่าไม่ขึ้น ที่จริงอาจต้องรอระยะหนึ่ง การไม่ขึ้นเลย โอกาสน้อยมาก บางคนอาจจะเลี้ยงแล้วโตช้า ตรงนี้ก็จะขึ้นกับสภาพอากาศ และการรดน้ำด้วย และต้องไม่ออกไม่โดนแดดแรงๆ ต้นไม้จะตาย” ปณิธิให้คำแนะนำ
ในการทำสินค้านี้ เขาเริ่มทำมา 4 เดือนแล้ว โดยเริ่มออกงานแสดงบูท และมีผู้สื่อข่าวมาเห็น ก็มาสัมภาษณ์ลงในหนังสือพิมพ์ เพียงไม่นานก็ทำให้สินค้าของเขาเป็นที่รู้จัก และได้รับการสั่งซื้อเพื่อไปจำหน่าย “มีมาออกงานที่เมืองทองมีสื่อหลายฉบับมาสัมภาษณ์ ก็ทำให้ได้ลูกค้าที่เป็นตัวแทนขาย ก็ประสบความสำเร็จ มีรับไปขายประมาณ 10 กว่าเจ้าแล้ว ที่มาเร็วมากเพราะมีการบอกต่อ ช่วงที่ผ่านมาขายได้เยอะเพราะเป็นช่วงวาเลนไทน์ พอดี สินค้าของผมยอดจะพุ่งช่วงที่เป็นเทศกาล อย่างเช่นปีใหม่ วันวาเลนไทน์ ก็จะขายดีมาก ถ้ามีงานรับปริญญาขึ้นมานิดนึง”
ปัจจุบัน เขาขายไปแล้ว หลายพันกระป๋องซึ่งราคาขายปลีก อยู่ที่กระป๋องละ 80 บาท เขาพูดถึงกลุ่มผู้ซื้อว่า “กลุ่มใหญ่ที่สุดที่เป็นลูกค้าคือ กลุ่มนักศึกษาที่ซื้อเป็นของฝากของขวัญให้กัน และก็ มีกลุ่มคนวัยทำงาน ที่ไม่ค่อยมีเวลา และไม่มี พื้นที่ปลูกต้นไม้ ทำให้สินค้านี้ตอบสนองความต้อง การตรงนี้ อีกกลุ่มหนึ่งตัวแทนขาย ขายดีมากคือ ขายในย่านที่มีกลุ่มชาวต่างชาติ เขาจะชอบมาก จะเหมาที่ละเป็นสิบๆกระป๋อง เพราะที่บ้านเขาราคาแพง สินค้าที่นิยมซื้อไปส่วนใหญ่ จะ เป็นพืชสมุนไพร เช่น ใบสาระแหน่ ถึงแม้ว่าบ้านเขา อากาศเขาหนาวแต่เขาปลูกในบ้านได้ ต้นไม้เหล่านี้อยู่ได้ในอุณหภูมิระหว่าง 15-35 องศา” ชาวต่างชาติบางคนก็ซื้อไปขายที่ประเทศของเขาเองด้วย ซึ่ง จะขายกันประมาณกระป๋องละ 200-300 บาท
ส่วนอนาคตของธุรกิจนี้นั้น ปณิธิบอกว่า “กิจการน่าจะไปได้เรื่อยๆ แต่ ผมยังไ ม่พอใจกับตัวต้นไม้ด้วย น่าจะทำได้ดีกว่า การทำธุรกิจนี้จะยังคงเติบโตได้เรื่อยๆ เนื่องจากต้นไม้มีความหลากหลายมาก ที่ผู้ขายจะขายได้ตลอด จากพันธ์ต้นไม้ใหม่ๆ และแปลกๆ การทำธุรกิจนี้ ทำให้คนทั่วไปได้รู้จักต้นไม้กันมากขึ้น สินค้านี้จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการรักสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติด้วย
ที่มา franchisefocus